วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

ข่าวอึ้ง ๆ : แมวประหลาด 2 หน้า 3 ตา 2 ปาก แว๊กกซ์ แมวเอเลี่ยงรึเป่านี่ !!

จะบอกก่อนนะฮ้าฟฟ..ว่าภาพและเรื่องราวต่อไปนี้ อิชั้นมิได้ลอกมาจากหนังแนวไซไฟแต่อย่างใดนา แต่มันเป็นเรื่อง จ.สระ อิง..จริง จริง ที่ซู้ดเลยก็ว่าได้ฮ่ะ อ่ะ..แต่จะเป็นเรื่องใดนั้น ตามมาดูกันได้เล้ย


สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เกิดกรณีฮือฮา เมื่อพบว่า มีแมวประหลาด ที่มีลัษณะผิดไปกว่าแมวตัวอื่น ๆ คือ มีลักษณะส่วนหัวที่ประกอบด้วย สองหน้า สองหู สองตะหมูก สามตา และสองปาก แถมเจ้าแมวตัวนี้ ยังอายุยื้นน..ยืน คือเพิ่งจะฉลองอายุครบรอบ 12 ขวบไปเมื่อเร็ว ๆ นี้อีกเอง



เจ้าแมวประหลาดตัวนี้ มีชื่อเรียกเท่ ๆ ว่า"แฟรงเก้นลูอี้" ฮ่ะ (เข้าใจตั้งชื่อเนอะ) มันอาศัยอยู่กับเจ้าของในเมืองมิลบิวรี่ รัฐแมสสาซูเซตต์ และเหตุที่เป็นแมวประหลาด ก็เพราะน้องแฟรงเก้นเค้าดันเกิดมามีสองใบหน้า เนื่องด้วยอาการผิดปกติ ที่ทางการแพทย์เรียกว่า"อาการ Janus" นั่นเอง ปกติแล้วอาการนี้จะทำให้มีชีวิตได้เพียงไม่กี่วันฮ่ะ แต่น้องเหมียวแฟรงเก้นเค้าอึด(เนาะ) อยู่มาได้ตั้ง 12 ปีเข้านี่แย้ว




นอกจากจะมีหน้าตาที่ผิดธรรมชาติไปมากโขแล้ืว น้องแฟรงเก้นของหมู่เฮาก็มีพฤติกรรมของแมวเหมือนแมวทั่วไปตามปกติแหละฮ่ะ ทั้งร้องเหมียว กินอาหาร คลอเคลียเจ้าของ เรียกได้ว่าผิดปกติแต่หน้าเท่านั้นนะยะ ส่วนอื่น ๆ ของเค้าอ่ะปกติดีไปทุกสิ่งอัน

รายงานข่าวยังระบุอีกว่า ขณะนี้ เจ้า"แฟรงเก้นลูอี้"ได้กลายเป็นดาวเด่นในเว็บไซต์ยูทูป เพราะมีผู้เข้ามาชมความแปลกประหลาดของมันเป็นจำนวนกว่าครึ่งล้านคนแล้ว

เอ้อ..ดังดีแท้ นึกสงสัยง่ะ ว่าเวลามันแหกปากร้องเงี๊ยวง๊าวขึ้นมาพร้อม ๆ กันทั้งสองหน้า เสียงเจ้าเหมียวมิเสียดทานสะท้านทรวงไปทั้งบ้านเลยรึ อุอุ..ดีเนาะ เลี้ยงตัวเดียวเหมือนได้เลี้ยงสองตัวเลยอ่ะ ป่ะ..ไปดูคลิปวีโอของเจ้ามิ๊ว..แฟรงเก้นสไตล์ เอ๊ย..แฟรงเก้นลูอี้ กัน




นี่ถ้าอยู่้เมืองไทย สงสัยโดนคนจุดธูปกราบไหว้ขอหวยกันไปนานแย้วววว..ว่าม้าย อุอุ

ขอบคุณที่มา มติชนออนไลน์

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

ข่าวน่ารัก : เจ้าเหมียวที่ขาสั้นที่สุดในโลกกก...

.
.
สวัสดีเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์นะค้าเพื่อน ๆ ชาวเคลิ้มทุกท่าน

หลังจากที่เคลิ้มมม..สมาคมพาไปดูของหญ่าย ๆ กันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันนี้ก็มาถึงคิวของ ของสั้น ๆ กันบ้างฮ่ะ

อ่ะ..มาดูข่าวของของสั้น ๆ อันนี้กันนะค้า

ข่าวจาก นสพ.เดอะซัน นสพ.ยอดนิยมสำหรับการก้อปข่าว (ฮี่ ๆ) ได้เปิดเผยถึง เจ้าเหมียวตัวเล็กน่ารักๆ จากแซนดีเอโก สหรัฐฯ ที่ได้รับการรับรองให้เป็นแมวเตี้ยที่สุดในโลก หลังวัดความสูงจากไหล่ถึงพื้นได้เพียง 6 นิ้ว ขณะที่ค่าเฉลี่ยความสูงของแมวทั่วๆ ไปจะอยู่ที่ราว 10 นิ้ว เห็นจะได้




เจ้าแมวตัวเตี้ยแม๊ะแคระตัวนี้ มีชื่อว่า เจ้าฟิช ฮ่ะ   อายุอานามก็ 2 ขวบแระ เป็นแมวเหมียวตัวเมียพันธุ์มันซ์กิ้น ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีลักษณะขาสั้นผิดแปลกจากพันธุ์อื่นๆ อยู่แล้ว แต่เจ้าฟิชนี่ดูเหมือนจะขาสั้นเย้ออ..ผิดชาวบ้านเค้า ทางกินเนสส์ เวิลด์ เรคอร์ดส จึงได้ออกมารับรอง "เจ้าฟิซ" อย่างเป็นทางการให้เป็นแมวเตี้ยที่สุดของโลกไปเรียบร้อยแระ
     
ทิฟฟานี เจลเดอร์การ์ด ผู้เป็นเจ้าของเล่าว่า ตอนที่กินเนสส์ เวิลด์ เรคอร์ดส บอกเธอว่า เธอมีแมวที่ตัวเตี้ยที่สุดในโลก เธอปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก และพอถึงตอนที่พามันไปยังสำนักงานสัตวแพทย์เพื่อวัดตัวมัน พวกเขาก็บอกกับเธอว่าไม่เคยเห็นแมวที่ไหนตัวเตี้ยขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต





ทั้งนี้ ทิฟฟานี จากแซนดีเอโก สหรัฐฯ เล่าต่อว่า "มันรู้ดีว่าตัวมันเตี้ย แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับการกระโดดและปีนป่ายขึ้นที่สูงภายในบ้าน มันคือเจ้าหญิงตัวเล็กๆของฉัน มันก็ซุกซอนเหมือนกับแมวตัวอื่นๆนั่นแหละ แต่มันก็ชอบทำอะไรหลายๆอย่างในรูปแบบของตัวเอง"

เตี้ย ๆ แบบนี้ นึกว่าหลุดจากลำตัวก็เป็นติง..เลยนะเนี่ย 555+ เอ้า ก็ขอให้มีความสุขสมกับที่ได้รับตำแหน่งนะจ๊า..เหมียวน้อย...เมี๊ยวววว....




ขอบคุณที่มา manageronline.com



ข่าวน่ารัก : โถ ๆ เพนกวินหัวโล้น เอ๊ย..ขนโล้นเอ๊ย..

ข่าวเคลิ้ม ๆ ประจำวันศุกร์สุดสัปดาห์มาเสิร์ฟแล้วจ๊า...

ข่าวล่ามาช้านิดนึงข่้าวนี้ หยิบมาจาก นสพ.เดอะซัน -ฮ่ะ เมื่อเจ้าเพนกวินตัวน้อยแสนน่ารัก ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในสวนสัตว์แห่งหนึ่งของประเทศจีน ต้องเผชิญกับความอ้างว้าง เย็นชาและหนาวเหน็บที่แท้จริง หลังถูกครอบครัวหมางเมิน เหตุเพราะดั๊นเกิดมาลืมตาดูโลกในสภาพขนโกร๋นซะนี่



     
ตามข่าวเค้าบอกแว่..เจ้าเพนกวินตัวน้อยที่ไร้ขนตัวนี้ ป่วยเป็นโรคประหลาดฮ่ะ เป็นผลให้ไม่มีขนขึ้นตามลำตัว แต่ที่สาหัสกว่านั้นคือด้วยสภาพร่างกายที่ล้านโล้นเตียนโล่งที่ไม่เหมือนกับตัวอื่นๆ ทำให้ไม่เป็นที่ต้อนรับจากครอบครัว

หวัง ตัน พนักงานของพิพิธภัณฑ์สัตว์ในเมืองต้าเหลียน ประเทศจีน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเพนกวินตัวนี้ เล่าว่า ทีแรกเค้าก็พยายามส่งมันกลับไปหาครอบครัว อยู่เหมียล์ลกันเฮ่าะ ด้วยหวังว่าทางฝูงจะดูแลมันและช่วยให้มันเติบโตอย่างแข็งแรง ทว่ามันกลับถูกทอดทิ้งและเขี่ยออกจากฝูง (แอร๊ยยย >_<")
     
ด้วยเหตุนั้นเจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์จึงต้องเป็นผู้ที่ดูแลมันตลอด 24 ชั่วโมงซะเอง และคอยให้อาหารเพนกวินตัวนี้นานกว่า 1 เดือน จนมันแข็งแรงและท้ายที่สุด ก็แฮปปี้เอนสะดิ้งฮ่ะ เมื่อตามตัวของมันเริ่มมีขนขึ้นเหมือนกับเพนกวินตัวอื่นๆ สุดท้ายทางครอบครัวจึงยอมรับมันกลับเข้าฝูงอีกครั้งนึง




แหม..สงสัยเจ้าเพนกวินฝูงนี้จะไม่เคยได้ยินคำฝัน เอ๊ย..คำขวัญของคนไทยนะ..แตกต่างแต่ไม่แตกแยกอ่ะ เคยได้ยินป่าว..อุอุ ก็ขอให้เติบโตแข็งแรงเป็นเยาวชนที่ดีของเพนกวินต่อไปนะจ๊า..โล้นน้อยยย..จุ๊บ ๆ






ที่มา manageronline

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

ข่าวดาราศาสตร์ : 24 กันยานี้ รอชิ้นส่วนดาวเทียมของพี่ซ่า โหม่งโลก !!!

กรี๊ด ๆ ๆ ๆ ไม่ได้เห่อบอยแบนด์เกาหลีนะ แต่อิชั้นกำลังอึ้ง ทึ่ง เสียวกับข่าวนี้ตังหากฮ่า

ข่าวจากสมาคม ดาราศาสตร์ของไทย แจ้งว่า ในวันที่ 24 กันยายน 2554 นี้ ดาวเทียมเก่าอายุ 20 ปีและหนักกว่า 5 ตันของนาซาได้หลุดจากวงโคจรและจะหล่นสู่โลก ในบริเวณที่มีประชากรอาศัยอยู่ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์จะระบุตำแหน่งที่แน่ชัดก่อนดาวเทียมพุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ 2 ชั่วโมงเท่านั้น (แอร๊ย..) แต่องค์การอวกาศสหรัฐฯ ยืนยัน และมั่นใจแว่..โอกาสเกิดอันตรายต่อคนบนโลกมีเพียง 1 ใน 3,200 เท่านั้นเองฮ่ะ


     
ทั้งนี้ ดาวเทียมศึกษาบรรยากาศชั้นบนยูเออาร์เอส (UARS: Upper Atmosphere Research Satellite) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ซึ่งมีอายุ 20 ปี มีขนาด 4.5 x 11 เมตร และหนักถึง 5.7 ตันได้ถูกนำไปปล่อยไว้ ตั้งแม่เมื่อเดือนกันยายน 2534 โดยบรรทุกไปกับกระสวยอวกาศดิสคัฟเวอรี โดยมีภารกิจคือ การสำรวจบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ดาวเทียมทำงานอยู่ในวงโคจรรอบโลกที่ความสูงประมาณ 580 กิโลเมตร หลังจากสิ้นสุดภารกิจแล้ว ปลายปี 2548 นาซาได้ใช้เชื้อเพลิงที่เหลืออยู่บนดาวเทียม ดึงดาวเทียมลงมาที่วงโคจร 360 × 510 กิโลเมตร เหนือผิวโลก เพื่อปล่อยให้ค่อย ๆ ตกลงมาด้วยแรงต้านจากชั้นบรรยากาศ และจะหลุดจากวงโคจรและหล่นสู่พื้นโลกราวๆ วันที่ 24 ก.ย.54 ตามคาดการ์ณของนาซา โดยพื้นโลกที่ดาวเทียมจะตกลงมานั้นอยู่ระหว่าง 57 องศาเหนือและ 57 องศาใต้ของเส้นศูนย์สูตร ซึ่งเป็นบริเวณที่มีประชากรอาศัยอยู่ (ตรงไหนฟระ)



     
อย่างไรก็ดี ดาวเทียมดังกล่าวจะเผาไหม้และแตกสลายไปมากแล้วก่อนตกสู่พื้นโลก ซึ่งตามรายงานของบีบีซีนิวส์นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะมีชิ้นส่วนจากดาวเทียมดังกล่าว 26 ชิ้นตกสู่พื้นโลก และตกกระจายกินพื้นที่กว้าง 400-500 กิโลเมตร ซึ่งทางนาซาเผยว่านักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณตำแหน่งที่ซากดาวเทียมจะตกได้ล่วงหน้าเพียง 2 ชั่วโมงก่อนดาวเทียมเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ
     
ดาวเทียมดังกล่าวมีโอกาสทำอันตรายประชาชนถึง 1 ใน 3,200 ซึ่งสูงกว่าขีดกำจัดที่นาซากำหนดไว้คือ 1 ใน 10,000 แต่นาซาแจงต่อสื่อมวลชนว่าไม่มีใครที่ได้รับบาดเจ็บจากวัตถุอวกาศที่ตกกลับสู่พื้นโลก นอกจากนี้ประชาชนทั่วไปยังไม่สามารถเก็บชิ้นส่วนดาวเทียมที่ตกลงมาไว้เป็นสมบัติส่วนตัวหรือแม้แต่ประมูลขายผ่านทางเว็บไซต์อีเบย์ (eBay) เนื่องจากเศษซากเหล่านั้นยังคงเป็นสมบัติของรัฐบาลสหรัฐฯ
   


ชิ้นส่วนจรวดชิ้นหนึ่งของนาซา ผ่านบรรยากาศโลกมาตกใกล้กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2548 มีขนาด 1×2 เมตร เป็นโลหะไทเทเนียม หนัก 50 กิโลกรัม ชิ้นส่วนจรวดชนิดเดียวกันนี้ นอกจากประเทศไทย เคยมีรายงานตกที่ซาอุดีอาระเบีย อาร์เจนตินา และอุรุกวัย (ภาพ - The Orbital Debris Quarterly News, Volume 9, Issue 2, April 2005)


แหม..จะเป็นของใครหนูก็ไม่สนหรอกฮ้า ก็ได้แต่หวังว่าคงจะไม่มีตาสีชาวบ้านธรรมดาโดนชิ้นส่วนของดาวเทียมดวงนี้ตกใส่หัวเข้าเท่านั้นเอ๊ง.. ถึงจะแอบหวังภาวนาให้มันตกโหม่งหัวคนโกงชาติโกงแผ่นดินมั่งสักชิ้นสองชั้นก็ยังดีก็เหอะ

เอ๊า..คุงพรี๊..น้องลืมไปว่าบล้อกนี้ปลอดการเมืองอ่ะ 5555+..






ขอบคุณที่มา manageronline

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

ข่าวแปลก : รวมของหญ่ายระดับน้อง ๆ สถิติโลก อิอิ

อรุณสวัสดิ์เช้าวันหยุดสุด สุด สัปดาห์จ้าาา..

วันนี้เคลิ้มสมาคมมีข่าวเคลิ้ม ๆ มาเคาะให้ฟังกันอีกแย้ว สัปดาห์นี้เรามาอยู่กันที่ของใหญ่ ๆ กันละกันนะคะ

ข่าวนี้โย้กก..มาจากเดลิเมล์ฮ่ะ เมื่อนักประเมินราคาทรัพย์สินชายวัยเกษียณ ที่ผันตัวเป็นชาวสวนเต็มเวลา สร้างสถิติใหม่ด้วยการปลูกหัวหอมยักษ์ ที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก พร้อมกับคว้าชัยชนะในงานประกวดพืชผล แฮร์โรเกต ออทัม ฟลาวเวอร์ โชว์ ทางตอนเหนือของเกาะอังกฤษ



     
พ่อเฒ่าปีเตอร์ เกลซบรูก วัย 67 ปี ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้เมืองนิวอาร์ก สามารถสร้างสถิติโลกจากประวัติในการทำสวน 30 ปีของเขา ด้วยผลผลิตหัวหอมยักษ์หนัก 17 ปอนด์ 15 ออนซ์ครึ่ง ซึ่งทำลายสถิติเดิม 16 ปอนด์ 8.7 ออนซ์ ที่ทำไว้โดยจอห์น ซิฟฟอร์ด จากเวสต์มิดแลนด์ตั้งแต่ปี 2005
     
ตามข่าวเค้าบอกว่าชายหนุ่มวัยเกษียณผู้นี้ได้ใช้ความพยายามในการเพาะปลูก เพื่อให้ได้หัวหอมที่หนักที่สุดในโลกมาตลอด 25 ปี แต่ก็พลาดเสมอ จนในที่สุดเขาก็สามารถคว้าชัยชนะมาได้ในงานแฮร์โรเกต ออทัม ฟลาวเวอร์ โชว์ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน ที่ผ่านมานี้




เขาบอกว่า "ผมไม่รู้น้ำหนักที่แท้จริงจนพวกเขาวางมันลงบนตราชั่ง แต่ผมคอยวัดขนาดมันทุกวัน ดังนั้นผมถึงมีความหวังมาก"
   
เกลซบรูกเริ่มปลูกหอมยักษ์หัวนี้มาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วฮ่ะ และรอจนกระทั่งเย็นวันพฤหัสบดี ที่ 15 กันยา ถึงค่อยเก็บเกี่ยว เนื่องจากพืชผักอาจเสียน้ำหนัก หากวางทิ้งไว้ข้ามคืน
     
เขาบรรจงห่อหัวหอมเจ้าของสถิติโลกหัวนี้ด้วยผ้าขนหนูอย่างทะนุถนอม เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ช้ำ หรือบุบสลายระหว่างการขนส่ง ก่อนนำขึ้นรถแล้วขับตรงไปยังสถานที่จัดงานในยอร์กเชียร์ตลอดทั้งคืน



   
อดีตนักประเมินราคาทรัพย์สินรายนี้เล่าถึงช่วงเวลาในการบ่มเพาะให้ผลผลิตของเขาครองสถิติโลกได้ว่า "ผมมักถามพวกมันเสมอว่าต้องการน้ำ และอาหารอีกไหม" (555+)

นอกเหนือจากความสำเร็จในการปลูกหัวหอมยักษ์ให้ได้ชัยชนะในครั้งนี้แล้ว ปัจจุบัน เกลซบรูกก็ยังเป็นเจ้าของสถิติมันฝรั่งที่หนักที่สุดในโลก หัวผักกาดที่หนักที่สุดในโลก และหัวบีทรูทที่ยาวที่สุดอีกด้วย เีรียกได้ว่าผลผลิตจากสวนเดียวเลี้ยงชาวบ้านได้ทั้งซอย
     
"ผมรู้สึกภูมิใจมาก ผมจะเอามันกลับบ้าน ดูแลมัน มันมีค่ามากเกินกว่าจะเอามากิน" เขากล่าว โดยเสริมว่า ถ้าเอาเจ้าหอมหัวนี้ไปทำอาหาร คงเพียงพอสำหรับทำฮอตดอกให้คนหลายพันคนทีเดียว

นอกจากพ่อเกลซบรูกเจ้าของหัวหอมยักษ์ใหญ่ระดับคว้าชัยสถิติแล้ว ก็ยังมีพืชผักสวนครัวระดับใหญ่ยักษ์ที่ส่งเข้าประกวดอีกหลายรายการฮ่ะ อาทิเช่น ผักกะหล่ำยักษ์ ของ เดเร็ก นูแมน จากเชฟฟิลด์




และ ฟักขนาดมหึมา ที่พ่อของกระทาชายนายโจ เอเธอร์ตันจากแมนสฟิลด์ปลูกมากับมืออีกด้วย




บ้านเราไม่ยักกะมีเทศกาลแบบนี้มั่งเนอะ ช่วยกันส่งเสริมการเกษตรให้ผลผลิตพัฒนาขึ้น ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณจะได้สมกับเป็นอาหารของครัวโลกได้อย่างที่คุยกันไว้น๋อยนึง..

แล้วพบกับเคลิ้มสมาคมได้ใหม่ในตอนหน้านะค้า




ขอบคุณที่มา manageronline




วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

ข่าวแปลก : ร็อคสาวเจ้าของสถิติเล็บยาวที่ซู้ดด...ในโลก !!??

.
.
คนเรานี่ช่างอุดมไปด้วยความแปลก แปลก และแตกต่างจริง ๆ ฮ่ะ บางคนก็แปลกแต่น้อย บางคนก็แปลกเอามั่ก ๆ ดูอย่างแม่คุณแม่ทูลหัว นักร้องเพลงร็อคในข่าวที่อิชั้นเอามาฝากนี่เป็นไร ไม่รู้คุณเธอคิดยางง้ายยย....ถึงได้ไว้เล็บยาวเอาสถิติโลกขนาดนั้น

อ่ะมาดูเนื้อข่าวกันนะคะ

คริส วอลตัน หรือ เดอะ ดัทเชสส์ นักร้องเพลงร็อควัย 45 ปีในลาสเวกัส ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์เวิล์ดเร็คคอร์ดส์ เมื่อวันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่าเป็นเจ้าของเล็บมือยาวที่สุดในโลก โดยเล็บมือซ้ายของเธอมีความยาวถึง 3.1 เมตร ส่วนเล็บมือขวา ยาว 2.92 เมตร หลังจากไม่เคยตัดเล็บเลย 18 ปี ซึ่งเท่ากับการเลี้ยงเด็กคนหนึ่งจนโตเป็นผู้ใหญ่เลยทีเดียว (แต่น่าหยดหยองมากกว่านะ)


       
วอลตัน กล่าวว่า เธอทำอะไรเองเกือบทุกอย่าง ทำเล็บเอง แต่งหน้า ขับรถ ช้อปปิ้ง ทำความสะอาดบ้าน แต่ที่สร้างปัญหาให้มากที่สุดคือ การหยิบเงินในกระเป๋า กับเวลาใช้เครื่องดูดฝุ่น ที่บางที เล็บก็ดันไปพันกับท่อยางดูดฝุ่นซะนี่ !!
       
"ไม่ได้ตั้งใจไว้เล็บเพื่อจะได้รับการบันทึกเป็นสถิติโลกในกินเนสส์หรอกฮ่ะ แต่วันหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็หยุดตัดเล็บซะงั้น อิฮั้นว่ามันก็สวยดีนะฮ้า ก็เลย ปล่อยยาวมาเรื่อย ๆ " เธอให้สัมภาษณ์นักข่าวว่ายังงั้น แถมยังบอกด้วยว่าเคล็บลับในการดูแลเล็บ ไม่ใช่การดื่มนม หรือมุ่งรับประทานอาหารที่ดีต่อเล็บ แต่กลับเป็นขนมหวาน กับความอดทนมากกั่ว.. (อิชั้นว่าอย่างหลังนี่เยอะกว่านะ)
       
เจ้าของสถิติเล็บยาวสุดในโลกคนก่อนคือ ลี เรดมอนด์ จากเมืองซอล์ต เลค ซิตี้  เจ้าของเล็บความยาวรวม 8.53 เมตร แต่เธอสูญเสียเล็บจากอุบัติเหตุรถยนต์ในปี 2552

เอ่อไหน ๆ ก็ไหน ๆ แระ ขอถามสักคำเถอะฮ่ะคุณพี่..แล้วงี้เวลาแคะขรี้เล็บมิใช้เวลาเป็นชั่วโมงเลยเหร๋อคะ..5555555555+






ขอบคุณที่มา http://www.komchadluek.net

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

ข่าวดาราศาสตร์ : พบ "โลกใบใหม่" ไกลออกไป 35 ปีแสง !!

ยู้ฮู..กลับมาพบกับคะ..เคลิ้มมม..สมาคมช่วงดึก ๆ นะค้า

ในวันนี้เคลิ้มสมาคมนำข่าวด้านดาราศาสตร์มาเสิร์ฟกันบ้างฮ่ะ

โดยเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา เว็บไซต์สเปซดอทคอม ได้เปิดเผยว่า นักดาราศาสตร์ที่สังเกตการณ์อยู่ที่หอสังเกตการณ์ยุโรปตอนใต้ สามารถค้นพบดาวดวงใหม่ถึงกว่า 50 ดวง




โดยรายงานระบุว่า การค้นพบดาวดวงใหม่กว่า 50 ดวงดังกล่าว มีดาวที่มีขนาดใกล้เคียงกับโลกอยู่ทั้งหมด 16 ดวงฮ่ะ ส่วนใหญ่จะมีพื้นผิวเป็นหิน แต่มีดวงหนึ่งมีลักษณะ,ขนาดและพื้นผิวใกล้เคียงโลกมาก อีกทั้งยังโคจรในแถบอวกาศที่มีสภาพอุณหภูมิไม่ร้อนหรือเย็นเกินไปด้วย ทำให้น้ำสามารถดำรงอยู่ได้ในสภาวะของเหลว จึงได้ตั้งชื่อให้ดาวดวงดังกล่าวว่า HD 85512 b หรือ Gliese 370 b

น้องดาว เอ๊ย..เจ้าดาว HD 85512 b หรือ Gliese 370 b นี้อยู่ไกลจากโลกไป 35 ปีแสงค่ะ มีขนาดใหญ่กว่าโลกราว ๆ 3.5 เท่า  และโคจรรอบดาวดวงหนึ่งที่ชื่อว่า HD 85512 ซึ่งก็มีลักษณะเหมือนกับดวงอาทิตย์ของเรา นอกจากนี้ยังใช้เวลา 54 วันในการหมุนรอบตัวเอง (นานแฮะ อาจเป็นเพราะเป็นดาวดวงที่ใหญ่กว่าโลกด้วยมั๊ง) มีเมฆปกคลุมและมีบรรยากาศคล้ายกับโลกของเรามาก ส่วนอุณหภูมิพื้นผิวของดาวดวงนี้อยู่ที่ 25 องศาเซลเซียส หรือก็พอ ๆ กับอากาศทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ทำให้นักดาราศาสตร์ต่างสันนิษฐานว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ก็เป็นได้ (เอาจริงดิ่)




ด้าน ลิซา คัลเตนเน็กเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ เปิดเผยว่า มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก(หนูก็ตื่นเต้วฮ่ะ) ที่ได้พบดาวเคราะห์ที่มีลักษณะคล้ายกับโลกอีกดวงหนึ่ง ซึ่งการค้นพบครั้งนี้ก็ไม่ใช่แค่การค้นพบดาวที่อยู่ห่างออกไป แต่มันคือการค้นพบโลกใหม่ก็ว่าได้

ว่าแล้วก็เตรียมแพ็คกระเป๋าไว้รอเลยฮ่ะ เมื่อไหร่ที่มนุษย์เราใช้ไอ้เจ้าดาวสีฟ้ากันจนสิ่งแวดล้อมมันยับเยินกู่ไม่กลับแระ ก็เตรียมอพยพไปดาวดวงใหม่กันได้ ว่าแต่ต้องใช้เวลากี่ร้อยปีถึงจะเดินทางถึงกันล่ะเนี่ยยยย....




ขอบคุณที่มา mthai.com

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

ข่าวฮา : แม้แต่กวางยังเมา

"ไม่เมาเหล้าแล้วเรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน ไอ้เมาเหล้าเช้าสายก็หายไป..แต่เมาผลไม้นี้ประจำทุกค่ำคืน"

สวัสดีเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ค่าาา..พบกับเคลิ้มสมาคมและข่าวฮ็อต ๆ ฮา ๆ กันอีกแล้วนะค้า

อ่ะมาดูข่าวควรจะฮาดีมั้ยของต่างประเทศข่าวนี้กันฮ่ะ

สำนักข่าวต่างประเทศ ได้เผยภาพ พี่ตำรวจและนักดับเพลิง ที่กำลังช่วยกวางตัวใหญ่ตัวนึงที่ติดอยู่กับต้นแอปเปิ้ล ในประเทศสวีเดน ออกมาฮ่ะ  ซึ่งสันนิษฐานว่ามันมีอาการมึนเมาจากการกินแอปเปิ้ลเน่าบนต้น (??!!) และพยายามยื่นคอขึ้นไปกินลูกที่อยู่สูงกว่าจึงทำให้ลำตัวติดอยู่ดังภาพ (ติดใจว่างั้นเหอะ)




ทั้งนี้ ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นได้โทรแจ้งให้ตำรวจมาช่วย หลังจากพบมันติดอยู่สักพักโดยไม่มีทีท่าว่าจะช่วยเหลือตัวเองให้หลุดออกมาได้เองอ่ะนะ จากนั้นพนักงานดับเพลิงก็ต้องตัดกิ่งไม้ทิ้ง เพื่อให้ตัวของเจ้ากวางหลุดออกมา และขณะนี้ถูกนำตัวคืนสู่ป่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม สัตว์อีกหลายชนิดที่กินผลไม้ เช่น ลิง จะเกิดอาหารเมาได้ หากมันกินผลไม้เน่าที่ตกลงกองบนพื้น ซึ่งพอมันทับถมกันจะเกิดแอลกอฮอล์ขึ้นมา เรียกว่างานนี้ถ้าเผลอกินกันมาก ๆ เข้า ก็เมาเละกันทั้งป่าเลยทีเดียว

ข่าวนี้ไม่รู้ควรจะฮาดีมั้ย แต่ก็ดีใจแหละที่งานนี้จบลงด้วยดี น้องกวางได้กลับคืนสู่อ้อมอกของป่าเขาลำเนาไพรตามเดิมแระ คราวหลังจะกินอะไรก็หัดไตร่ตรองซะก่อนนะน้องนะ เมาแต่พอควร อย่าติดใจจนปีนขึ้นไปติดแหง็กแบบนี้อีกล่ะ..เดี๋ยวจะเดือดร้อนพี่ ๆ เค้าต้องไปแซะหนูลงมาอีก ^0^/

แล้วพบกับเคลิ้มสมาคมได้ใหม่ในตอนหน้านะฮ้า





ขอบคุณที่มา mthai.com

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

ข่าวประทับใจ : คืนอิสรภาพให้กับลิงที่ถูกขัง-ทดลองมากว่า 30 ปี !!

อ่านข่าวนี้แล้ว อิฮั้นก็ได้แต่สะท้อนสะท้านอยู่ในหัวใจฮ่ะ

สำนักข่าวต่างประเทศเปิดเผยคลิปสุดซึ้ง หลังลิงชิมแปนซี 10 ตัว ได้รับคืนอิสรภาพครั้งแรก หลังจากอยู่ในห้องทดลองมานานกว่า 30 ปี !!



ทั้งนี้ ชิมแปนซีทั้ง 10 ตัว ถูกแยกออกมาจากแม่หลังจากลืมตาดูโลกได้ไม่นาน และได้ถูกนำไปเป็นสัตว์ทดลองในการทดลองยาและทดลองทางการแพทย์ ในบริษัทผู้ผลิตยาแห่งหนึ่งของออสเตรีย โดยทั้ง 10 ตัวถูกแยกให้อยู่ตามลำพังหลังจากมีการทดลองโดยการฉีดเชื้อเอชไอวีและไวรัสตับอักเสบให้ (โธ่ถัง..เฮ้อ T_T)




อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 1997 โครงการดังการต้องสิ้นสุดลง เนื่องจากบริษัทยาดังกล่าวถูกขายต่อ ซึ่งชิมแปนซีทั้ง 10 ตัว ถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่ในฟาร์มแห่งหนึ่งเพื่อฝึกการใช้ชีวิต เพราะลิงพวกนี้อาศัยอยู่แต่ในห้องทดลองแบบปิดมาโดยตลอด ซึ่งผู้ดูแลบอกว่า ตนมีความสุข ที่เห็นลิงชิมแปนซีกลุ่มนี้มีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ






เป็นข่าวสะเทือนอารมณ์ประจำวันนี้เลย เฮ้อ..ที่สุดแล้ว มนุษย์ก็ต้องเบียดเบียนสัตว์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งสินะ คิดถึงสุขภาพของตัวเองแล้วสุขภาพของเจ้าลิงพวกนี้ล่ะ เคยคิดกันมั่งมั้ยเนี่ย....






ข่าวจาก Mthai.com

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

ข่าววิทยาศาสตร์ : ฟูกูชิมะ วันนี้ !!

.
.

หลังจากคลื่นยักษ์มหา สึนามิ และ แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของญี่ปุ่น ผ่านพ้นไปเมื่อหลายเดือนก่อน ชาวญี่ปุ่นเองก็ยังต้องผจญกับโศกนาฎกรรมทางสุขภาพและการใช้ชีวิตมาอีกเป็นระลอก ๆ น่ะนะคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวเมือง ฟูตาบุ จ.ฟูกูชิมะ ที่ตั้งอยู่ห่างจากโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟูกูชิมะ ไดอิจิ ซึ่งเกิดเหตุสารกัมมันตรังสีรั่วไหลเพราะผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิ เพียง 20 ก.ม.เมื่อ 6 เดือนก่อน 

โดยเมื่อวันที่ 5 ก.ย. ที่ผ่านมา สำนักข่าวเอพีและเว็บไซต์ข่าวเดลี่เมล์ ก็ได้เผยแพร่ภาพถ่ายบรรยากาศในเมือง "ฟูตาบะ" จ.ฟูกูชิมะ  ออกมาให้ชาวโลกได้ชม สภาพเมืองฟูตาบะ ทุกวันนี้กลายเป็นเหมือนเมืองร้าง หรือ เมืองผีสิง เนื่องจากประชาชนต้องอพยพออกจากพื้นที่ตามคำสั่งรัฐบาล และคาดว่ากว่าชาวบ้านจะหวนกลับเข้ามาพำนักใช้ชีวิตตามปกติได้นั้นต้องกินระยะเวลายาวนานอีกถึง 20 ปีเลยทีเดียว

ในภาพถ่ายของสำนักข่าวเอพี จะเห็นเมืองตกอยู่ในสภาพเงียบเหงาอย่างมากฮ่ะ ทั้งตึกราม บ้านช่อง ร้านค้าปิดตาย โรงเรียน สนามเด็กเล่น โรงพยาบาล ถูกปล่อยทิ้งร้างไร้ผู้คน เห็นแล้วก็น่าหดหู่ใจยิ่งนักอ่ะนะคะ

ก็หวังว่าชะตากรรมของชาวญี่ปุ่นจะไม่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติครั้งร้ายแรง และอุบัติเหตุที่ไม่สามารถควบคุมได้เช่นนี้อีก เชิญชมภาพถ่ายอัพเดทล่าสุด จาก เมือง ฟูกูชิมะ ได้เลยค่ะ 






















ขอบคุณข้อมุลจาก http://www.khaosod.co.th/

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

ข่าวแปลก : โครตไอ้เคี่ยม

.
.


อย่าเพิ่งนึกว่าเป็นชื่อหนังใหม่ ค่าย บีจีเอช (มีรึเปล่าฟระค่ายนี้) นะค้า แต่นี่คือ อภิมหาไอ้เคี่ยมตัวเป็น ๆ ที่พี่ ๆ ชาวฟิลิปินโนว์แกจับได้หลังต้องหวาดผวาภัยจากเขี้ยวตัน ๆื ของจระเข้ตัวพ่อมานานหลายเดือน

เว็บไซต์ข่าวเดอะซัน ได้เผยแพร่ภาพ จระเข้ยักษ์ ระดับโครตไอ้เคี่ยม ที่ชาวฟิลิปปินส์จับได้ ซึ่งเมื่อวัดแล้ว ขนาดของมันมีความยาวถึง 21 ฟุต !! เลยทีเดียว



โดยก่อนหน้านี้ชาวบ้านต่างอยู่กันอย่างหวาดผวาฮ่ะ เนื่องจากชาวประมงหลายรายถูกจระเข้ยักษ์ ตัวนี้โจมตีหลายครั้งในละแวกอ่าวของเมืองบูนาวัน อีกทั้งยังมีเสียงร่ำลือกันว่า ชาวประมงรายหนึ่งที่หายตัวไปอย่างลึกลับไปตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นเหยื่อของจระเข้ยักษ์ไปแล้ว

จนกระทั่งชาวบ้านทนอยู่กันอย่างขวัญหนีดีฝ่อไม่ไหวฮ่ะ ก็เลยช่วยกันสร้างกับดักเพื่อจับสัตว์ขนาดใหญ่ตัวนี้ พอจับได้ปุ้บก็ถึงกับเฮกันเลยทีเดียว แต่เนื่องจากมันมีน้ำหนักถึง 1 ตัน  จึงต้องระดมชาวบ้านนับร้อยมาช่วยดึงร่างของมันขึ้นจากที่โล่งของอ่าว แล้วใช้เครนยกขึ้นรถบรรทุกเพื่อนำไปดูแลที่อุทยานแห่งชาติเชิงอนุรักษ์ นับได้ว่าเป็นจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ถูกจับตอนเป็นๆ ในประเทศฟิลิปปินส์ 

อย่างไรก็ตาม คอกซ์ อีลอร์เด นายกเทศมนตรีท้องถิ่น เตรียมแผนที่จะจัดการร่างของมัน โดยเปลี่ยนจากภัยคุกคามให้กลายเป็นสิ่งที่มีค่า (อย่างเช่นลูกชิ้นรึ ??)  พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า “ครั้งแรกที่เห็นขนาดอันมหึมาของมันก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง”

แหม๊ะ...หนูก็ไม่เชื่อสายตาตัวเองเหมือนกันแหละฮ่ะ..ตัวมันใหญ่ยักษ์จริง ๆ นะ นี่ถ้าหลุดมาแถวบ้านหนู ตอนน้ำกำลังท่วม ๆ แบบนี้ ก็ตัวใครตัวมันแหละนะฮ้าคุณพรี๊..






ขอบคุณที่มา mthai.com

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

ข่าวฮา : ยังงี้ก็มีด้วย



สวัสดีเช้าวันหยุดนะค้าทุกโคนนน...วันนี้เคลิ้มสมาคม มากับข่าวเคลิ้ม ๆ ของแท้อีกตามเคยฮ่ะ 


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คู่รักชาวจีนรายหนึ่ง ดั๊นนน...ตกลงปลงใจไปมีเซ็กส์กันในรถ จนเกิดอุบัติเหตุรอดตายหวุดหวิด หลังจากที่ฝ่ายชายซึ่งนั่งอยู่ในฝั่งคนขับเกิดอารมณ์อุมบ่ะ ๆ ขึ้นมาเต็มขั้น แล้วเผลอเหยียบคันเร่งถอยหลัง จนครึ่งหนึ่งของรถพุ่งชนกำแพงลานจอดรถบนอาคารออกมา แล้วแขวนต่องแต่ง จะตกมิตกแหล่อยู่อย่างนั้น โชคยังดีที่มีพลเมืองดีตะโกนเรียกเขาไว้ได้ทันก่อน




ตามข่าวเค้าบอกว่า คู่รักไม่ประสงค์จะออกนาม (และไม่ประสงค์จะออกเงินค่าโรงแรม) ในเมืองฉางชา มณฑลหูหนาน ทางตอนใต้ของประเทศจีนคู่นี้ ได้ขับรถไปยังดาดฟ้าซึ่งเป็นลานจอดรถของตึกสูง 60 ฟุต แห่งหนึ่งฮ่ะ หลังจากที่มั่นใจว่าจอดรถได้ตำแหน่งที่ปลอดภัยแล้ว (ปลอดภัยจาก ??!!) ทั้งคู่ก็เริ่มแสดงความรัก โจ๊ะพรึม ๆ กัน โดยไม่ยอมดับเครื่องแถมเปิดแอร์ทิ้งไว้อีกตังหาก (ไม่ช่วยลดโลกร้อนกันเลยนะ) แต่ด้วยอารมณ์รักอันเร่าร้อนรึไงก็ไม่รู้ ทำให้นายโจว  หู แกเผลอไปเหยียบเกียร์คันเร่งขณะที่รถอยู่ในเกียร์ถอยหลังเข้าให้ (อุแม่เจ้า....) รถก็เลยพุ่งพรวด ถอยไปชนขอบลานจอดรถแตกดังโพล๊ะใหญ่ โชคดีที่มีคนที่เดินผ่านมาเห็นตะโกนขึ้นซะก่อน เฮียแกก็เลยเหยียบเบรคทัน แต่รถก็จอดแขวนค้างเติ่งให้ใจคออาเฮียกับอาหมวยตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเล่นอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ผู้คนในบริเวณนั้นจะช่วยดึงทั้งคู่ออกมาจากรถอย่างปลอดภัยในเวลาต่อมา




ตามข่าวเค้าก็ไม่ได้บอกอ่ะนะฮ้า ว่าคู่รักที่กำลังเถิดเทิงอยู่นั่น คว้าเสื้อผ้าออกจากรถมาได้ครบชิ้นรึเปล่า แต่วันหลังหัดใช้บริการลานจอดรถให้ถูกวัตถุประสงค์เค้าหน่อยก็ดีนะคะเฮียขรา แหม๊ะ.....เกือบได้ขึ้นสวรรค์ชั้น 7 จริง ๆ ซะแระนะคะคุณพรี๊......กรั่ก ๆ ๆ ๆ



ข่าวจาก mthai.com


วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

ข่าวปลื้ม ๆ : จีนยกย่องข้าวหอมมะลิไทย ดีที่ซู้ดดในสามโลก

คราวที่แล้ว เคลิ้มสมาคม เอาข่าวไม่ค่อยจะเคลิ้มมาฝากกันไปน๋อยนึงแล้วนะคะ มาถึงข่าวที่ทำให้คนไทยต้องทั้งเคลิ้มมม..ทั้งปลื้มปริ่มกันมั่งดีฝ่าฮ่ะ


โดยข่าวนี้ ได้รับการเปิดเผย เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 54 นี้นี่เอง นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกมาเปิดเผยหลังหนังสือพิมพ์ guide to delicacy ของจีนได้ยกให้ ข้าวหอมมะลิ ของไทยมีคุณภาพมากที่สุด (ในสามโลก) ภายหลังหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวได้ทำการประกวดข้าวหอมมะลิ 5 ยี่ห้อที่ขึ้นชื่อที่สุดจากห้างสรรพสินค้า ในเมืองกวางโจว




ตามข่าวเค้าบอกว่า ข้าวหอมมะลิไทย ยี่ห้อ อ.ต.ก. (ย่อมาจาก อร่อยเต็มกระสอบ กรั่ก ๆ ๆ) มีคุณภาพดีที่สุด รองลงมาคือ ข้าวหอมมะลิยี่ห้อ Koko มหารงค์หอม ช้างทอง และเบญจรงค์ตามลำดับ ซึ่งจากการวัดคุณภาพดังกล่าวจะมีวิธีพิสูจน์จากการสังเกตเมล็ดข้าวด้วยแสงธรรมชาติ สี ความเงางาม และดมกลิ่นรวมถึงการรับประทานจากผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารด้านการตกแต่งอาหารและด้านอาหารของประเทศจีน



ข้าวหอมมะลิ

นอกจากนี้ในบทวิจารณ์ยังได้ชม ว่า ข้าวหอมมะลิไทยแท้ จะสามารถรู้สึกถึงรสหวาน โดยความหวานและกลิ่นหอมจะยังคงอยู่แม้จะกลืนข้าวไปแล้วก็ตาม (เทพมั่ก ๆ) ซึ่งข้าวหอมมะลิไทยแท้ ๆ ที่นำเข้า จะมีความชื้นต่ำทำให้ระยะเวลาการรักษาคุณภาพยาวนานถึง 2 ปีเลยทีเดียว

สำหรับข้าวหอมมะลิของไทยนั้นปัจจุบันเป็นที่นิยมของชาวจีนเป็นจำนวนมากฮ่ะ โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเมืองกวางตุ้งฝูเจี้ยน บางพื้นที่ของเจ้อเจียง และ เจียงซู อ่ะนะคะ

โหย..ฟังข่าวนี้แล้ว รู้สึกซาบซึ้งรัดรึงใจเป็นอันมากเฮ่าะ..ว่าแต่ว่าไหน ๆ เราก็ได้รับยาหอมโปรยมาแล้วว่าข้าวหอมมะลิไทยอ่ะ อร่อยที่สุด หอมที่สุด เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร พี่ ๆ ที่อยู่ในวงการค้าข้าว ก็กรุณาซื่อตรงต่ออาชีพและรักษาคุณภาพของข้าวไทยไว้ด้วยนะค้า อย่าปลอมปนชนิดของข้าวไปให้เค้าลดอันดับความน่าเชื่อถือและความอร่อยล่ะ สมัยนี้ยิ่งมีข้าวหอมจากสารพัดประเทศอยากจะตีตลาดข้าวโลกบ้านเราอยู่

ขอซูฮกข้าวหอมมะลิไทย ด้วยการดื่มน้ำยอดข้าวสักหลาย ๆ จอก..(เกี่ยวรึ ??!!) อุอุ

แล้วพบกับน้องเคลิ้มได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ

ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่แวะมาเคลิ้มมมม..ด้วยกันค่ะ...


นายกสมาคมเคลิ้มฯ
รายงาน
ขอบคุณที่มาข้อมูล mthai.com