วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ข่าวแปลก : ลูกปลาหมึกโตในปาก

แหม..อ่านข่าว ปตท.เอ๊ย..ตปท.วันนี้แล้ว อิชั้นถึงกะไม่คิดอยากจะกินปลาหมึกตลอดชีวิตเลยทีเดียวฮ่ะ อ่ะ มาดูค่า

เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักข่าว ต่างประเทศ แห่งนึงได้รายงานเรื่องเหลือเชื่อที่เขย่าประสาทนักเปิบเป็นอันมากชิ้นนึงว่า มีคุณป้าวัย 63ปี คนนึง ได้หอบอาการเจ็บแปล๊บ ๆ ในช่องปากไปหาคุณหมอ เพื่อให้ทำการตรวจว่า เธอเป็นอะไรกันแน่ แต่แล้วคุณหมอท่านนั้นก็ถึงกับต้องตกตะลึงพึงเพริดเลยทีเดียวฮ่ะ เมื่อพบว่า มีสัตว์อันไม่พึงประสงค์ที่ไม่น่าจะพบอยู่ในช่องปากของมนุษย์ทั่วไปอาศัยอยู่ในปากป้าแกเป็นจำนวนมาก นั่นก็คือลูกปลาหมึกตัวน้อย ๆ นั่นเอง ที่สำคัญก็คือ มันไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเปลี่ยวเอกาหรอกนะฮ้า แต่มันอยู่ในปากคุณป้าแกเป็นหมู่คณะถึง 12 ตัวเลยทีเดียว  แต่ไม่ต้องตกใจฮ่ะ ตอนนี้อาคุงหมอ แกก็ได้กวาดเอาหมึกอ่อนและเมือกทั้งหมดที่อยู่ในช่องปากออกไปเป็นที่เรียบร้อยละ


ข้อสันนิษฐานของแพทย์กรณีนี้ก็คือ คุณป้าท่านนี้แกคงกินปลาหมึกตัวเต็มวัยเข้าไปแหละฮ่ะ และอิ่ตอนเคี้ยว ๆ ๆ อย่างเพลิดเพลินใจ ไอ้เจ้าถุงน้ำเชื้อของปากหมึกก็ดันไปแตกโพล๊ะในปากของของแกเข้า จากนั้นอสุจิและไข่จึงฝังตัวตามซอกหลืบต่างๆ ของเหงือกและฟัน และเกิดการฟักเป็นตัวอ่อนขึ้นดังกล่าว

กรณีข้างบนนี้ยังไปคล้ายกับหญิงญี่ปุ่นรายหนึ่ง ที่เกิดอาการเจ็บปากหลังกินหมึกดิบเข้าไปด้วยอ่ะนะคะ โดยหญิงญี่ปุ่นรายนั้นมีหมึกอ่อนติดอยู่ที่ปาก และแพทย์ก็ต้องทำการถอนหมึกอ่อนและถุงสเปิร์มออกจากปากของเธอเช่นกัน

แหม..อิชั้นก็ให้นึกอยู่ว่า อิ่ตอนกินปลาหมึกเนี่ย ไม่ได้ทำให้มันสุกตามหลักของกระทรวงทรัพยากรธรณีก่อนหรือไรคะ (<< ได้ข่าวว่ามันเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขนะ กรั่ก ๆ ๆ) มันถึงได้เกิดการฟิเจอริ่งมาเก็ตติ้งเฟิร์สในช่องปากได้ขนาดนั้น แถมกินแ้ล้วก็ต้องแปรงฟันให้สะอาดเอี่ยมอ่องด้วยสิ จะหมักให้มันมาฟักอยู่ในซอกฟันอยู่ได้นานขนาดนั้นไดอย่างไรกัน เอ..หรือคุณป้าแกไม่นิยมแปรงฟันฟระ ไข่ปลาหมึกถึงได้อยู่ยงคงกระพันถึงขั้นออกมาเป็นตัวขนาดนั้น..

เอ้า..ใครที่นิยมกินอะไรสุก ๆ ดิบ ๆ ก็ดูไว้เป็นตัวอย่างก็ละกันนะค้า แถวบ้านเราอาจจะไม่มีเคสคีบลูกปลาหมึกออกจากปากก็ได้เน้อ แต่อาจจะเป็นคีบเจ้าตัวดึ้กดึ๋ยตัวอื่น ๆ ออกมาแทน..นึกแล้วก็หยึกหยึ๋ยแทนฮ่ะ ขออนุญาตแว่บออกไปแปรงฟันอีกรอบก็ละกันนะค้าาาา แล้วพบกันใหม่กับเคลิ้มสมาคมโอกาสหน้าค่าาาา..



ขอบคุณที่มา เอ็มไทย.คอม
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ข่าวน่าทึ่ง : คุณยายกายสิทธิ์พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์

ว่ากันอันที่จริง คงเป็นความฝันของใครอีกหลาย ๆ คนเลยอ่ะนะฮะ ที่อยากจะปีนขึ้นไปพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกให้สำเร็จให้ได้สักครั้งนึงในชีวิต

แต่ช้าก่อน..มาดูข่าวอันน่าทึ่งของเหล่าสมาคมเคลิ้มข่าวนี้กันดีกว่าฮ่ะ โดยเมื่อวา่นนี้ (19 พ.ค 2555) สำนักข่าวเอเอฟพีได้รายงานว่า คุณยายชาวญี่ปุ่นวัย 73 ปีคนนึง ได้ทำการ พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ได้สำเร็จเรียบร้อยโรงเรียนยุ่นปี่แล้ว และได้กลายเป็นสตรีที่มีอายุมากที่สุดที่เคยพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สำเร็จอีกด้วย ที่สำคัญและน่าทึ่งไปกว่านั้น ก็คือคุณยายแกไม่ได้เพิ่งจะมาปีนสำเร็จครั้งนี้เป็นครั้งแรกนะค้า แต่แกได้เคยปีนสำเร็จมาแล้วครั้งนึง แถมยังทำลายสถิติเดิมที่เคยทำไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้วได้สำเร็จอีกด้วย (หนูซูฮกเลยฮ่ะคุณยายยยย...)


คุณยายท่านนี้ มีชื่อว่าคุณยายทามาเอะ วาตานาเบะ ฮ่ะ โดยแกได้เริ่มออกเดินทางจากกรุงกาฐมาณฑุของเนปาล เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อปีนป่ายขึ้นไปสู่ยอดเขาสูงที่สุดของโลกทางด้านทิเบต โดยมีผู้ติดตามอีก 4 คน รวมถึงนักปีนเขาชาวญี่ปุ่น โนริยูกิ มูรางูจิ ผู้ทำหน้าที่ตากล้องด้วย
     
อัง เชอริง เชอร์ปา จากสำนักงานอำนวยการปีนเขา เอเชียน เทร็กกิง ในกรุงกาฐมาณฑุ ได้เผยว่า “เช้าวันนี้ เวลา 07.00 น. คุณยายปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยปีนขึ้นทางด้านเหนือ และขณะนี้ท่านได้ลงมาแล้ว”

   
อนึ่ง คุณยายวาตานาเบะ ผู้นี้ ไม่ใช่คุณยายโนเนมแก่ ๆ แต่อย่างใดนะค้า แต่คุณยายได้ทำการพิชิตยอดเขาสูง 8,848 เมตรแห่งนี้ได้ครั้งนึงแล้ว โดยได้ทำการพิชิตครั้งแรก เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ปี 2002 ทำให้ ณ.บัดนาว คุณยายได้กลายเป็นผู้หญิงอายุมากที่สุดที่สามารถพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งสถิตินี้เคยเป็นของ อานนา เซอร์วินสกา ชาวโปแลนด์ มาก่อน

ว่าก็ว่าเหอะ..อิชั้นว่าคุณยายวาตานาเบะเนี่ย แกไม่ใช่คุณยายธรรดา ๆ เหมือนคุณยายแถวบ้านเราหรอก แต่แกเป็น "คุณยายกายสิทธิ์" มากกว่าอ่ะ..หนูงี้นับถือคุณยายจริง ๆ เลย เอาไปสิบดาวครึ่งเลยนะฮ้าคุณยาย..เก่งมั่กมากเลยฮ่าาาา...



เรียบเรียงข่าวจาก manager.co.th
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต



วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ข่าวไอที : โดดจากแอพฯ มาสู่ของจริง กับกล้องเดิ้น ๆ อย่าง Instagram Socialmatic

อุ๊ยตายว้ายกรี๊ดดด..ข่าวเคลิ้มวันนี้ขอเอาใจขาแอพฯ มือถือทั้งหลายในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ หรือ ICS กันหน่อยละกันนะฮ้า อิอิ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทาง adr-studio.it ได้ออกแบบกล้องรุ่นใหม่ มีมีชื่อว่า Instagram Socialmatic มาให้สาวกได้กรี๊ดกร๊าดกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วฮ่ะ โดยไอ้เจ้าหน้าตาของกล้องตัวนี้ ได้ถูกออกแบบมาจากไอคอนของแอพ Instagram ในมือถือเป๊ะ !! จึงมีรูปทรงที่บางเฉียบ พร้อมจอทัชสกรีน และระบบพิมพ์ภาพได้ในตัว นอกจากนี้แล้วยังบรรจุหน่วยความจำมาให้อีก 16GB และมี QR Code แปะไว้เป็นที่ระลึกให้คนมาคอมเม้นท์รูปเราใน Instagram หรือ Facebook ได้ทันทีอีกด้วย


รายละเอียดกล้อง Instagram Socialmatic

-หน่วยความจำหลัก 16 GB
-Wifi และ Bluetooth
-จอ 4:3 touchscreen
-เลนส์ถ่ายภาพ 2 ตัว สำหรับบันทึกภาพและสำหรับการถ่ายภาพแบบ 3 มิติ ใช้เป็น Webcam และสแกน QR Code ได้
-ระบบซูม Optical zoom
-แฟลช Led Flash
-ถ่ายแล้วพิมพ์ภาพได้เลย
-หมึกพิมพ์ 4 สี
-ระบบปฏบัติการ InstaOs 1.0





ข่าวนี้คงจะโดนใจขากล้องมือถือ ที่ชื่นชอบการใช้โปรแกรม instargram เอาไว้แชะเอาไว้แชร์อยู่มิใช่น้อย อ่ะนะคะ อิชั้นเองก็ตั้งตาร้อรออยู่ทุกวัน ตอนนี้ก็หยอดกระปุกเก็บได้สัก 300 แระ คาดว่าน้องอินฯ เดินทางมาถึงเมืองไทยเมื่อไหร่ก็คงได้ครบหมื่นพอดี 5555+ ใครสนใจอยากซื้อหามาไว้ในครอบครองก็ต่อคิวอิชั้นได้เลยนะค้าาา..แล้วพบกันใหม่ในเคลิ้มสมาคมตอนหน้าค่าาาา...เอ้า..ชาบู ๆ ๆ ๆ





ขอบคุณที่มา http://www.comfixclub.com/



วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ข่าวน่าทึ่ง : รถไฟสายโรแมนติกที่สุดในโลก

เคลิ้มสมาคมกลับมาส่งข่าวเคลิ้ม เจิมข่าวฮากันอีกแล้วฮ่าาา..

ในวันนี้จะขอเอาใจคนที่รักความโรแมนติค ด้วยการเดินทางอันแสนพิเศษบนรถไฟสายที่ได้ชื่อว่าโรแมนติคที่สุดในโลกกันนะฮ้า



รถไฟสายนี้เดินอยู่บนรางที่ประเทศยูเครนฮ่ะ เป็นรถไฟที่ทำหน้าที่ส่งไม้ไปยังโรงงาน Fiberboard ใกล้กับเมือง Klevan ทางตะวันออกของประเทศ โดยมันจะทำการวิ่ง 3 รอบต่อวันเพื่อส่งมอบไม้ไปยังโรงงาน



และที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นรถไฟสายที่สวยและโรแมนติกที่สุดในโลก ก็เพราะช่วงหนึ่งของรางรถไฟซึ่งยาวประมาณ 3 กม. ได้แล่นผ่านเข้าไปยังอุโมงค์แมกไม้อันเขียวชอุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิซึ่งปัจจุบันมีคู่รักที่ชื่นชอบมาเที่ยวชมความงดงามดั่งฝันของรถไฟสายนี้กันเป็นอย่างมาก



นอกจากนี้แล้วยังมีทริคสำหรับคู่รักอีกด้วยฮ่ะ ว่าถ้าคู่รักคู่ใดได้มาขอพรที่ทางรถไฟแห่งนี้ ก็จะได้ครองรักกันไปตราบชั่วนิรันด์

แหม่..อ่านแล้วอิชั้นอยากจะวิ่งไปจูงมือตาแก่ที่บ้านตีตั๋วไปยูเครนซะเดี๋ยวนี้เลย แต่ก่อนอื่นขอหยิบฟันปลอมก่อนไปตีตั๋วเครื่องบินก่อนก็ละกันนะฮ้า...555+



ข่าวแปลและภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

ข่าวสุขภาพ : ชีวิตรสซ่า กับสารก่อมะเร็งรสแซ่บบบ..

.
.


ไอ้เรื่องหมกเม็ด โดยเอาชีวิตผู้บริโภคทั่วโลกมาเสี่ยงนี่ เห็นทีจะเป็นคุณสมบัติพิเศษของบรรดาผู้ค้า ผู้ผลิต ผู้ขาย รายใหญ่ ๆ ของโลกเลยมั๊งเนี่ย

อ่ะ..วันนี้มีข่าวไม่ค่อยจะฮา..(แต่อาจจะตายห้ากันถ้วนหน้าสำหรับคนที่รักชีัวิตรสซ่าทั้งหลายแหล่) มาฝากกันอีกแล้วฮ่ะท่านผู้ชม

สำนักข่าวต่างประเทศได้เปิดเผยในรายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า บริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มโคคาโคล่า หรือโค้ก และ เป็ปซี่ ได้พร้อมใจกันปรับปรุงวิธีการเพิ่มสีดำในเครื่องดื่มอัดลม เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ระบุว่า หนึ่งในสารที่ผสมในเครื่องดื่มสีดำนั้นมีสารก่อมะเร็งที่ชื่อว่า 2-methylimidazole และ 4-methylimidazole  !!!??? (แล้วพี่เพิ่งจะมาบอกหนูตอนเนี้ยะเนี่ยนะ)




ทั้งนี้ องค์กรอิสระแห่งหนึ่งของสหรัฐฯทำการทดลองในสัตว์แล้วพบว่า การใช้สารเคมีทั้งสองชนิด ซึ่งเป็นสารให้สีดำในปริมาณเพียง 16 ไมโครกรัมก็สามารถทำให้สัตว์เป็นโรคมะเร็งได้แล้ว (แล้วกรูล่ะ ??) ขณะที่ในน้ำอัดลม 20 ออนซ์ มีปริมาณสารดังกล่าวมากถึง 200 ไมโครกรัมเลยทีเดียว !!!!!!!!!!!!!!  (เออ..แล้วกรูล่ะ ??? คำรบสอง)

ด้าน สมาคมเครื่องดื่มอเมริกันเผยว่า ทั้งโค้กและเป็ปซี่จะยังคงใช้สารตัวเดิม (..เพื่อ ??) แต่จะมีการปรับสูตรเพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งผู้บริโภคเองก็จะไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของรสชาติ และจะไม่ส่งผลกระทบด้านสุขภาพใด ๆ เลยด้วย

อ้าว..ชิกหัยแระ..แล้วไอ้ที่อิชั้นดื่มไอ้เครื่องดื่มน้ำดำที่ว่ามาตลอดหลายปี ก็หมายถึงอิชั้นแดร๊กสารก่อมะเร็งเข้าไปเต็ม ๆ สิเนี่ย

หย่าขาดจากกันอิ่ตอนนี้จะทันมั้ยเนี่ยท่านผู้ช้มมมมม... เง้อออ...>_<"



ที่มา mthai.com
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

ข่าวแปลก : รถไฟฟ้า เอ๊ย..รถไฟฟรี ลูกตุ้มมาหานะเธอ

.
.

เอ่อ....ไอ้ืุสุภาษิตที่เค้าว่า ของถูกและดีไม่มีในโลก เห็นทีจะใช้ไม่ได้กับชาวอินโดฯ บางส่วนซะแล้วฮ่ะ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บไซต์เดลี่เมล์ ได้เผยภาพวิธีการจัดการผู้โดยสารรถไฟของอินโดนีเชีย ที่มักง่ายปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคาเพื่อโดยสารไปแบบฟรีๆ จนเป็นเหตุให้มีผู้ตกลงมา และเสียชีวิตเป็นจำนวนมากต่อเนื่องกันมาเป็นสิบปีอ่ะนะคะ




โดยวิธีการดังกล่าว ทางการได้ใช้ลูกตุ้มคอนกรีต ดัดแปลงทาสีให้ดูคล้ายกับลูกเหล็กฮ่ะ เสร็จแล้วก็นำไปแขวนห้อยต่องแต่งกลางอากาศตามเส้นทางรถไฟ เพื่อหวังจะกำราบผู้โดยสารที่ประพฤติผิดๆ ให้เข็ดหลาบ ซึ่งถ้่าหากวิธีการดังกล่าวประสบผลสำเร็จก็จะมีการขยายไปในพื้นที่อื่นๆ ด้วย




ด้วยวิธีการนี้ หากผู้โดยสารริจะขึ้นรถไฟฟรี (ก็ตรูไม่ได้นั่งในโบกี้นี่ ตรูนั่งอยู่บนหลังคาเฟร้ย) ก็จะโดนลูกตุ้มเหล็ก ฟาดเข้าให้ ซึ่งก็แน่นอนว่ารถไฟก็แล่นด้วยความเร็วสูงขนาดนั้น ย่อมทำให้คนที่โดนลูกตุ้มเหวี่ยงใส่ อาจตกลงมาซี๊แหงแก๋ได้ง่าย ๆ (แอบโหดนะเนี่ย)




สำหรับปัญหาผู้คนแอบปืนขึ้นหลังคาเพื่อลักลอบโดยสารไปกับรถไฟแบบฟรีๆ นี้  กำลังเป็นปัญหาอย่างหนักของอินโดนีเซียฮ่ะ แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะคิดใช้วิธีต่างๆ นานาในการป้องกันและห้ามปรามเช่น ฉีดพ่นสีไว้หลังคาเพื่อจับผิด หรือการใช้สุนัขขู่ และขอร้องจากครูศาสนามาจัดการ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร





ก็ไม่รู้ว่าคุณพี่ที่ปีนขึ้นไปโดยสารอยู่บนหลังคานั่นจะประหยัดเงินได้สักกี่มากน้อยอ่ะนะ แต่อิชั้นว่ามันไม่คุ้มเอาซะเล้ย หากจะต้องตกลงมาแข้งขา คอเคอหัก ใครเคยขึ้นรถไฟอินโดฯ วานบอกทีนะค้า ว่าค่าตั๋วมันแพงขนาดต้องหลบเลี่ยงการตังค์ขนาดนั้นเลยรึ...หรือพี่แกจะอยู่ในลัทธินิยมของฟรีกันทั้งขบวนก็ไม่รู้...เง้อออ..






ขอบคุณที่มา เอ็มไทยดอทคอม

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

ข่าวน่าทึ่ง : บันไดเลื่อนที่สูงที่สุดในโลก

.
.

ตามประสาคนแก่ที่ไขข้อเริ่มเสื่อม วันนี้ก็เลยขอเอาใจคนแก่ด้วยกัน โอ๊ะ ๆ ๆ ย้อเย่นนน..อิชั้นขอเอาใจคนที่รักของใหญ่ ๆ เหมือนกัน (แถไปนู้น 555+) ด้วยการนำข่าวของยักษ์ ๆ มาฝากกันอีกแล้วฮ่ะ..


สำนักข่าวออนไลน์ดฮัฟฟิงตัน โพสต์ ได้ส่งซิกสายอ้อม (อ้อมไกลไปหน่อย) มาเมื่อวันที่ 26 ธันวาคมปีที่แล้วว่า ณ.บัดนาว มีการเปิดใช้งานบันไดเลื่อนยักษ์ขึ้นที่เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศอย่าง เมืองเมดิลลิน ในเขตชุมชนโคมูนา 13 ประเทศโคลัมเบีย เรียบร้อยแล้วฮ่ะ ทั้งนี้ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้คนในชุมชนให้เดินทางขึ้นลงได้สะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ผู้อาศัยในเมืองนี้ราว 12,000 คน จะต้องเดินทางด้วยเท้าผ่านริมเขาที่สูงชัน ในการสัญจรไปมาระหว่างบ้านกับในตัวเมืองมาโดยตลอด



เจ้าบันไดเลื่อนที่ว่านี้ มีการแบ่งออกเป็น 6 ส่วนด้วยกันค่ะ สิริรวมความยาวถึง 384 เมตร และใช้ทุนในการสร้างจำนวน 6.7 ล้านเหรียญดอลลาร์ หรือประมาณ 214,400,000 บาท  โดยมันสามารถร่นระยะเวลาการเดินทางขึ้น-ลง จากปกติ 35 นาทีด้วยวิถีการเดิน เหลือเพียง 6 นาทีด้วยวิถีบันไดเลื่อนเท่านั้น (ปลื้มมม...) และชาวบ้านสามารถใช้งานได้ฟรี..ฟรี..ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แถมทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า ในอนาคตมีแผนจะสร้างหลังคาขึ้นมาเพื่อกันแดดกันฝนให้อีกด้วย




ทางด้านนายกเทศมนตรีอลองโซ ซาลาซาร์ กล่าวถึงบันไดเลื่อนยักษ์สูงราวตึก 28 ชั้นนี้ว่า เขาไม่เคยได้ยินว่าที่ไหนจะมีการสร้างบันไดเลื่อนกลางแจ้งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน (หนูก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกันฮ่ะ) ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นตัวแรกของโลก




ทั้งนี้ อิ่ตอนนั้น (เพราะมันผ่านมาร่วมเดือนแล้ว ฮาาา...) ชาวบ้านในชุมชนได้ออกมาทดลองใช้งานบันไดเลื่อนนี้กันอย่างตื่นเต้น  ซึ่งพวกเขาดีใจมากที่มันสามารถช่วยให้การเดินทางของพวกเขาไปไหนมาไหนได้สะดวกขึ้น โดยหนึ่งในสมาชิกหมู่บ้าน กล่าวว่า "มันเป็นเหมือนกับความฝันที่กลายเป็นจริงแล้ว"




แหม..พูดกันขนาดนี้ อิชั้นก็นึกอยากจะไปลองขึ้นดูมั่งซะแระ เดี๋ยวขอเก็บตังค์หยอดกระปุกสักสองชาติครึ่งก่อน ตอนนี้ได้หางตั๋วชิ้นแรกแระ อุอุ...ใครจะสมทบทุนก็หลังเมล์มาได้นะค้าาาาา ยินดีต้อนรับทุกแบงค์ค่าาา..

แล้วพบกับข่าวเคลิ้ม ๆ ได้ใหม่ในตอนหน้า





ขอบคุณที่มา กระปุกดอทคอม



วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

ข่าวน่าทึ่ง : ศิลปะ 3 มิติบนพื้นถนน (3d street art)

.
.

เรื่องของ ศิลปะ นี่เป็นเรื่้องที่ เจ้าของบล้อกรู้สึกอับจนฝีมือจริง ๆ เฮ่าะ แล้วยิ่งได้เห็นศิลปินที่มีฝีไม้ลายมือเข้าขั้น สำแดงเดช อวดผลงานเทพ ๆ ออกสู่ชาวโลกด้วยแล้ว ก็ให้นึกอึ้ง ทึ่ง เสียว อยู่ทุกครั้งว่า แอร๊ยย..มานทำได้งายฟระ..

แหม..ก็ดูอย่างศิลปะ 3 มิติ ที่อิชั้นเอารูปมาฝากชาวเคลิ้มนี่เป็นไรคะ ดูกี่ที ๆ ก็ให้นึกหลงละเมอเพ้อพกว่ามันเป็นภาพจริง ของจริงซะทุกที ไม่รู้พี่ศิลปินแกกินอะไรเป็นมังสาหาร ถึงได้เก่งในการสะบัดฝีแปรงขั้นเทพขนาดนี้

ไม่เชื่อก็ลองไปดูผลงานแต่ละชิ้นจากศิลปินทั่วโลกที่อิชั้นเอามาฝากชาวเคลิ้มในวันนี้กันดูสิคะ..















ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ข่าวรันทด : เมื่อฮ่องกงอุดมด้วยห้องกรง

.
.
เฮ้อ..ได้อ่านข่าววันนี้แล้วบอกตามตรงว่าอิชั้นถึงกับเคลิ้มไม่ลงกันทีเดียวเฮ่าะ

อ่ะ มาว่าถึงเนื้อข่าวกัน...ถ้าพูดถึง เกาะฮ่องกง หลาย ๆ ท่านรวมทั้งอิฮั้นด้วย ก็คงนึกถึงเมืองอันอุดมไปด้วยแหล่งช้อปปิ้ง ผู้คนมากมายและความมั่งคั่งอ่ะนะคะ เรียกได้ว่าอ่องกงถือเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดเมืองหนึ่งของโลกเลยทีเดียว คิดดูสิค้า ที่นั่นเค้ามีร้านขายสินค้าแบนด์ดัง ๆ อย่างเช่น กระเป๋าหลุยส์วิตตอง เยอะกว่าที่ปารีสเองซะอีก นอกจากนี้แล้ว ฮ่องกงยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่คร๊ายยย..จะรู้มั่งว่าในอีกมุมหนึ่งของเกาะฮ่องกง ประชากร 1 ใน 10,000 คนของที่นั่น กลับมีความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ยากลำบาก แออัดยัดทะนาน และต้องอยู่อย่างเบียดเสียดน่าดู หลาย ๆ คนคงไม่เชื่อหูกระมังค้า ถ้าอิชั้นจะบอกว่า พวกเขาอาศัยอยู่ในกรงเหล็กที่มีขนาดเพียง 6ฟุต x 2.5 ฟุต แค่นั้นเอง




ข้อเท็จจริงไม่ติงนังที่อิชั้นเล่ามาข้างต้นนั้น ไม่ได้พูดพล่อย ๆ ตามประสาคนพูดแยะหรอกฮ่ะ แต่อิฮั้นไปเจอ ภาพ ของความแออัดของผู้อยู่อาศัยใน เกาะฮ่องกง เข้าชุดนึง ซึ่งเป็นฝีมือของช่างภาพชาวอังกฤษ ซึ่งก็นะ...เห็นแล้วก็บรรยายถึงสภาพความอัตคัดขัดสนของประชากรบางส่วนที่นั่นได้เป็นอย่างดี คิดดูดิ๊..ประชากรที่มีรายได้น้อยของที่นั่น ต้องจ่ายค่าเช่ากรงเหล็กอยู่กันที่เดือนละ 200 ดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณเดือนละ 6,000 บาท)แน่ะ แถมแต่ละชั้นก็ปาเข้าไปถึง 20 กรง สูง 3 ชั้น ชั้นล่างสุดมีราคาแพงสุด เพราะสูงพอที่มนุษย์มนาจะยืนได้ ขณะที่ห้องน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานเป็นของส่วนกลางต้องใช้ร่วมกัน ที่นี่ไม่มีห้องครัวนะค้า ส่งผลให้ผู้เช่าซึ่งฐานะยากจนต้องซื้ออาหารกินเพิ่มภาระในการใช้จ่ายแบบหนักข้อเข้าไปอีก >_<"




นายเฉออุน ผู้เช่ารายหนึ่งเล่าว่า อุณหภูมิในกรงจะสูงกว่าภายนอกราว 2-3 องศาฮ่ะ และมันก็อึดอัดมาก จนบ่อยครั้งที่เขานอนตาค้างจนถึงเกือบตี 5 ของอีกวัน อีกทั้งยังต้องคอยระแวงสัตว์เลื้อยคลานและแมลงสาบ ที่อาจเดินเข้าไปในหูในเวลากลางคืนด้วย (กรรมของเวร)




อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการอยู่อาศัยในกรงเหล็กแบบนี้จะดูเป็นเรื่องอื้อฉาวในฮ่องกง แต่จำนวนห้องพักแบบนี้กลับมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามสภาพเศรษฐกิจที่แย่ลงอ่ะนะคะ








เอ่อ..เห็นสภาพแล้วดีใจที่อยู่เมืองไทยฟร่ะ ทุกข์ร้อนยังไงก็ยังไม่ต้องถึงขนาดแปรสภาพตัวเองให้ไปอยู่ในกรง ข้าวมีอยู่น้ำมีกิน ขยัน อดทน ประหยัด อดออมอย่างเดียว ทุ่งนาสาโทและน้ำใจก็ยังพอมีให้กันอยู่มั่ง น่าสงสารคนที่ด้อยโอกาสในชีวิตขนาดนั้นจังเลยเนาะ เฮ้อออออออ....





ขอบคุณข่าวที่ทำให้ไม่เคลิ้ม จาก mthai news

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

ข่าวแปลก : กุ้งทะเลเดือด



ของแปลก ๆ ในโลกนี้ที่เรายังไม่ได้ค้นพบยังมีอีกเยอะแยะตาแป๊ะไก่จริง ๆ เฮ่าะ

ก็ดูอย่างข่าวนี้เป็นไร..

เมื่อไม่นานมานี้สำนักข่าวต่างประเทศได้ออกมารายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ของศูนย์สมุทรศาสตร์แห่งชาติในเซาแธมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ได้ ค้นพบกุ้งสายพันธุ์ใหม่ ที่อาศัยอยู่ในใต้ทะเล ลึกกว่า 5 ก. ม. ที่รู้จักกันในนาม “ปล่องน้ำพุร้อนใต้ทะเล” (black smoker) ซึ่งไอ้ที่ปล่องตรงนั้นมันมีอุหภูมิสูงกว่า 450 องศาเซลเซียส(เท่านั้นเอ๊งงง..O_o") ในทะเลแคริเบียน แถวบริเวณร่องน้ำเคย์แมน ทางตอนใต้ของเกาะเคย์แมน



ทั้งนี้ กุ้งสายพันธุ์ใหม่ที่ค้นพบนี้ ถูกตั้งชื่อว่า Rimicaris hybisae ฮ่ะ ลักษณะพิเศษของมันก็คือ เป็นกุ้งที่ไม่มีตา และมีหนวดสีขาว นอกจากความสามารถในการอยู่ในที่อุณหภูมิสูงกว่าน้ำเดือดแล้ว มันยังมีแสงไฟที่กลางหลังด้วย(สงสัยเป็นกุ้งเอเลี่ยน) และมีสายพันธุ์ใกล้เคียงกับกุ้งสายพันธุ์ Rimicaris exoculata ซึ่งอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้ทะเลกว่า 4,000 ม.




อย่างไรก็ตาม การค้นพบครั้งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้มาก เพราะในบริเวณนั้นร้อนและมีกรดซึ่งไม่เคยค้นพบพื้นที่ที่มีลักษณะเช่นนี้มาก่อน

ก็บอกแล้วว่าของแปลก ๆ ในโลกนี้ยังมีอีกเยอะ..มิน่าเคลิ้มสมาคมถึงไม่เคยขาดเสิร์ฟข่าวแปลก ๆ แบบนี้ให้กับมิตรรักแฟนเพลงซะที

แล้วกลับมาพบกับข่าวสเปเซียลโซไซตี้กันได้ใหม่ในเคลิ้มสมาคมตอนหน้านะค้า..





ขอบคุณที่มา Mthai.com