วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ข่าวสุขภาพ : แค่กอดอก ก็ลดความเจ็บปวด ??!!

ใครจะเชื่อว่าแค่ "กอดอก" ก็ลดความเจ็บปวดได้ ??!!

เอ๊า..จริง จริ๊งงง..ไม่เชื่อมาฟังข่าวนี้กันดูเฮ่าะ

นักวิจัยเชื่อว่า สมองสัมพันธ์กับร่างกาย เพียงแค่ 'กอดอก' ที่กลางลำตัว ก็สามารถลดความเจ็บปวดลงได้ เพราะทำให้สมองสับสนกับการรับรู้ข้อมูลด้านซ้ายกับด้านขวา




นี่คือการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยลอนดอน ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเพน อ่ะนะคะ พวกเค้าระบุว่า เหตุผลของการลดความเจ็บปวดได้ดังกล่าวก็คือ ข้อมูลสมองได้รับมันจะขัดแย้งกันเองระหว่างพื้นที่สมอง 2 ส่วน ส่วนแรกเกี่ยวกับร่างกาย อีกส่วนคือพื้นที่ภายนอก

จิอันโดเมนิโก เอียนเนตตี จากคณะสรีรศาสตร์ เภสัชวิทยาและประสาทวิทยา ผู้นำวิจัย กล่าวว่า ในชีวิตประจำวัน คนส่วนใหญ่ใช้มือซ้ายจับสิ่งของที่อยู่ฝั่งซ้าย และใช้มือขวาจับสิ่งของที่อยู่ด้านขวา ซึ่งหมายความว่า สมองส่วนที่ดูแลร่างกายด้านขวา และดูแลพื้นที่ภายนอกด้านขวา จะทำงานร่วมกัน ซึ่งนำไปสู่กระบวนการด้านความเจ็บปวดที่มีประสิทธิภาพมาก

"เมื่อคุณกอดอก สมองสองส่วนนี้จะสับสน เพราะไม่ได้ทำงานสัมพันธ์กันอีกต่อไป ทำให้ความเจ็บปวดบรรเทาลง"

จากการศึกษา นักวิทยาศาสตร์ใช้เลเซอร์ต่างเข็มเล่มเล็ก ส่องลงไปที่มือของอาสาสมัคร ที่ความเร็ว 1 ใน 4 มิลลิวินาที โดยไม่ต้องสัมผัส จากนั้นทดลองทำเมื่ออาสาสมัครกอดอก แล้วให้เปรียบเทียบความเจ็บปวดด้วยการให้คะแนน รวมถึงใช้เครื่อง EEG สวมศีรษะอ่านคลื่นไฟฟ้าจากสมอง

ผลปรากฏว่า ทั้งรายงานจากอาสาสมัครโดยตรงและจากเครื่องวัด EEG ชี้ว่า การรับรู้ความเจ็บปวดลดลงเมื่อกอดอกฮ่ะ

"เมื่อเราเจ็บปวด เราไม่ควรจะเอามือไปถูมัน อาจจะดีกว่าถ้ากอดอกเสียเลย" นักวิจัยกล่าวและว่า หวังว่าการค้นพบนี้จะนำไปสู่การพัฒนายาหรือวิธีการรักษาความเจ็บปวดแบบใหม่
งั้นก็ลองให้คนไข้กอดอก อิ่ตอนโดนผ่าไส้ติ่งดูมะ เผื่อจะเวิร์คอ่ะค่ะคุณพี่...5555+



วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ข่าวแปลก : ว่าที่เจ้าของสถิติ...อกใหญ่ภูเขาไฟระเบิด มาแล้วค้า...

ใครที่กำลังคิดอยากจะทำลายสถิติกินเนสบุ้คในฐานะ สาวเจ้าของไซส์ อกหญ่ายภูเขาไฟระเบิด เห็นทีจะต้องผ่านด่านแม่สาวทรงโตรายนี้ไปก่อนล่ะค้า...

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวเดลิเมล รายงานเรื่องแปลกของหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งมีหน้าอกขนาด XXXXL เอ๊ย 164XXX โดยเธออ้างว่ามีหน้าอกที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว





สำหรับหญิงสาวเจ้าของอกตู้ม ๆ ผู้นี้ คือ เชลซี ชามส์ ซึ่งมีอาชีพเป็นแดนเซอร์และดาราหนังโป๊วัย 35 ปี เฮ่าะ

ทั้งนี้ เชลซี ชามส์ ได้เปิดเผยว่า การที่เธอมีหน้าอกบิ๊กไซส์ขนาดนี้ เนื่องจากเธอได้ทำศัลยกรรมขยายหน้าอกด้วยวิธีที่เรียกว่า การปลูกถ่ายหน้าอกด้วยพอลิโพรไพลีน (Polypropylene String Breast imprints) หรือแบบยืดหยุ่นขยายตัวได้ ซึ่งปัจจุบันการผ่าตัดเสริมหน้าอกเช่นนี้ถูกสั่งห้ามแล้ว แต่หลังจากนั้นหน้าอกของเธอขยายขึ้นเรื่อย ๆ 1 นิ้วต่อเดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก เนื่องจากผู้หญิงที่ทำศัลยกรรมเช่นนี้ หน้าอกไม่ได้ขยายเพิ่มอย่างที่เธอเป็น

          แม้ว่าด้วยขนาดของหน้าอกจะเป็นประโยชน์ต่ออาชีพของเธอมาก แต่เธอก็ประสบปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับประทานอาหาร การนอนซึ่งต้องนอนหงายเท่านั้น และเธอไม่สามารถเข้าห้องน้ำบนเครื่องบินได้ (นอกซะจากถอดน่มหน๊มฝาก ตม.ไว้) นอกจากนี้ เธอยังต้องคอยออกกำลังกายเพื่อกระชับหน้าอกเธอเป็นประจำอีกด้วย ซึ่งเธอรู้สึกว่าเต้านมแต่ละข้างมีน้ำหนักเท่ากับลูกแตงโมเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เชลซี ชามส์ กล่าวด้วยว่า เธอไม่อาจมีหน้าอกแบบนี้ได้ตลอดไป และจะต้องผ่าตัดลดขนาดในที่สุด

สำหรับสถิติโลก "ผู้หญิงที่มีขนาดหน้าอกใหญ่ที่สุดในโลก" จากกินเนสส์บุ๊ค เป็นของ เม็กซี่ มาวนด์ส โดยในขณะนี้เชลซี ชามส์ กำลังรอทำลายสถิติเดิมนั้นอยู่ ก่อนที่เธอจะทำการผ่าตัดลดขนาดหน้าอกของเธอ

อ่านข่าวแล้วทำไมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีก็ไม่รู้แฮะ ที่มีอะไรต่อมิอะไรเล็ก...เล้กก..เท่าที่แม่ให้มา อย่างน้อย อิชั้นก็ไม่ต้องออกแรงฝืนแรงโน้มถ่วงเวลาเดินไปข้างหน้าล่ะน่ะ 5555+ เอิ๊กกกซ์....






วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ข่าววิทยาศาสตร์ : โครงการคืนชีพ ช้างแมมมอธ

       ที่โตเกียว 17 ม.ค. 2554 - นักวิจัยชาวญี่ปุ่นจะเริ่มโครงการฟื้นคืนชีพช้างแมมมอธ ซึ่งสูญพันธุ์ไปนานแล้ว ด้วยเทคโนโลยีการโคลนนิ่ง โดยจะเริ่มโครงการในปีนี้และใช้เวลา 5 ปี จึงจะมีช้างแมมมอธตัวแรกปรากฏตัวบนโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้อีกครั้งอ่ะนะคะ

        ทีมนักวิจัยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญแมมมอธจากรัสเซีย และผู้เชี่ยวชาญช้างจากสหรัฐ เข้าร่วมโครงการ ซึ่งล่าสุดได้ใช้เทคนิคการสกัดดีเอ็นเอออกจากเซลล์แช่แข็ง แม้โครงการนี้ได้ยกเลิกไปแล้วครั้งหนึ่งเพราะนิวเคลียร์ในเซลล์ผิวหนังและ กล้ามเนื้อของแมมมอธได้รับความเสียหายจากผลึกน้ำแข็ง แต่ความหวังกลับมาอีกครั้งหนึ่งเมื่อ เทรุฮิโกะ วากายามะ นักวิจัยจากศูนย์พัฒนาด้านชีววิทยาริเค็น ประสบความสำเร็จในการ “โคลน” หนูจากเซลล์ที่แช่แข็งไว้นานถึง 16 ปี ทีมของ อิราทานิ จึงนำเทคนิคของ วากายามะ มาปรับปรุง จนได้วิธีการดึงนิวเคลียสจากไข่ช้างแมมมอธ โดยที่เซลล์ไม่ถูกทำลาย

       “หากเราโคลนเอ็มบริโอได้สำเร็จ ก่อนที่จะใส่มันเข้าไปในมดลูกของช้างปกติ เราคงต้องหารือกันก่อนว่า จะขยายพันธุ์ช้างแมมมอธต่อไปอย่างไร และจะเปิดเผยต่อสาธารณชนหรือไม่” อิราทานิ กล่าว

       “หลังจากที่ลูกช้างเกิดมา เราจะต้องศึกษาเรื่องยีนและระบบนิเวศที่มันอาศัยอยู่ เพื่อให้ทราบสาเหตุที่พวกมันสูญพันธุ์ รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ”





       หนังสือพิมพ์โยมิอูริรายงานว่า นักวิจัยจะเริ่มโครงการฟื้นคืนชีพช้างแมมมอธ โดยจะนำเนื้อเยื่อมาจากซากของแมมมอธที่รักษาไว้ในห้องวิจัยของรัสเซีย นายอากิระ อิริตานิ หัวหน้าคณะนักวิจัยและศาสตราจารย์กิตติคุณของมหาวิทยาลัยเกียวโต กล่าวว่า ได้เตรียมการโครงการนี้แล้ว ทั้งนี้ ตามโครงการจะนำนิวเคลียสที่ได้จากเซลล์ของแมมมอธใส่เข้าไปในเซลล์ไข่ของช้าง ซึ่งนำนิวเคลียสออกแล้ว เพื่อสร้างตัวอ่อนที่ประกอบด้วยยีนของช้างแมมมอธ




       ตัวอ่อนดังกล่าวจะถูกฉีดเข้าไปในมดลูกของแม่ช้างฮ่ะ ด้วยความหวังว่าในที่สุดแม่ช้างจะให้กำเนิดลูกแมมมอธ ซึ่งนักวิจัยตั้งเป้าหมายว่าจะประสบความสำเร็จภายใน 5-6 ปี






       สำหรับ ช้างแมมมอธ (Mammuthus armeniacus)" นั้นได้อาศัยอยู่บนโลกมาตั้งแต่ 4.8 ล้านปีก่อน และสูญพันธุ์ไปเมื่อ 13,000-60,000 ปีที่แล้ว ช้างแมมมอธเคยอาศัยอยู่แถบอเมริกาเหนือและยูเรเซีย แต่ละตัว มีน้ำหนักราว 6-8 ตัน แต่ถ้าเป็นตัวผู้ตัวใหญ่ๆ อาจหนักถึง 12 ตัน เลยทีเดียว ซากช้างแมมมอธร้อยละ 80 ถูกขุดพบในสาธารณรัฐซาฮาทางตะวันออกของไซบีเรีย โดยซากที่มีสภาพดีที่สุดยังคงหลงเหลือเส้นขนและอวัยวะภายใน

       นับวัน มนุษย์ก็ยิ่งทำตัวละม้ายคล้ายพระเจ้าขึ้นทุกที ก็หวังว่า คืนชีพช้างแมมมอธตัวเบ้งขึ้นมาแล้ว จะหาที่อยู่เหมาะ ๆ ให้มันได้ก็ละกันนะค้า


ขอบคุณที่มา :  สำนักข่าวไทย
และ http://www.junjaowka.com/webboard/showthread.php?p=389112


วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ข่าวแปลก : บ้านไข่เคลื่อนที่

สำหรับคนที่มองหาบ้านราคาประหยัดสุด ๆ คงต้องทึ่งตะลึงงันกับงบประมาณและความคิดอันล้ำเลิศของหนุ่มจีนรายนี้ฮ่ะ



เมื่อปลายปีที่แล้ว รายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศได้ร่วมกันนำเสนอข่าว นายไต้ ไฮ่เฟย หนุ่มจีนจากบ้านนอก วัย 24 ปี ที่กำลังศึกษาด้านการออกแบบ และได้ทำการสร้างบ้านแบบเคลื่อนย้ายที่ได้ ในงบประมาณราว 3 หมื่นบาทเอาไว้อยู่อาศัย ใกล้ ๆ ที่ทำงานในกรุงปักกิ่ง โดยใช้ไม้ไผ่ โครงเหล็ก วัสดุกันน้ำ กันความร้อน และติดแผงโซลาร์เซลล์ขนาดเล็ก และมีล้อติดอยู่ด้านล่างสามารถเคลื่อนที่ได้ เพราะไม่มีเงินไปเช่าห้องพักอยู่




ทั้งนี้ หลังจากที่เรื่องดังกล่าวได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนของจีน ต่อมาก็แพร่สะพัดเป็นข่าวดังไปทั่วโลก โดยบ้านรูปไข่ดังกล่าว มีพื้นที่ 6 ตารางเมตร สูง 2 เมตร ภายนอกมุงด้วยไม้ไผ่และบุด้วยเสื่อไม้ไผ่ ทับด้วยวัสดุกันน้ำและเก็บความร้อน ภายในห้องมีเพียงเตียง หลอดไฟ และผ้าห่มไฟฟ้าให้ความอุ่น กับอ่างล้างหน้าที่ใช้ปั๊มน้ำ ซึ่งไฟฟ้าได้จากแผงแปลงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา และแบตเตอรี่ที่ไปชาร์จไฟที่บริษัทเดือนละครั้งทุกเดือน



นายไต้ ให้สัมภาษณ์ ว่า ตนเองมาจากมณฑลหูหนาน ภาคกลางของจีน พ่อทำงานก่อสร้าง แม่เป็นคนทำความสะอาด ไม่ได้มีเงินมากอะไร ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ในปักกิ่งทุกวันนี้แพงมาก จึงคิดหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ในแบบสร้างสรรค์ และได้ความคิดหลังจากไปเข้าชมงานเซี่ยงไฮ้ เอ็กซ์โป 2010 เมื่อต้นปี ในงานมีโครงการชื่อ “เมืองไข่” ต่อมาจึงยืมเงินญาติในมณฑลหูหนาน ราว 28,000 บาท สร้างบ้านและขนขึ้นรถบรรทุกมาไว้ที่นี่ ตอนแรกที่นำมาปลูกเจ้าหน้าที่กรมที่ดินประหลาดใจและเคยขอให้ย้ายออกไป แต่ตนไม่มีที่ไป พวกเขาเลยปล่อยไว้



“ผมประทับใจกับบ้านแนวสิ่งแวด ล้อมที่เห็นในงาน (เอ็กซ์โป) มาก และคิดว่า เหมาะกับเมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง ซึ่งค่าเช่าห้องแพงมากสำหรับบัณฑิตที่เพิ่งจบใหม่ ผมรู้สึกดีที่ได้อยู่แบบเรียบๆ ง่ายๆ ที่นี่ บางครั้งอาจจะหนาวบ้าง แต่ก็ช่วยประหยัดเงินได้มากจริงๆ” นายไต้ กล่าว (หนูก็ประทับใจพี่มากเหมือนกันเฮ่าะ)




ทว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 ธค. ที่ผ่านมา เป่ยจิงไทมส์รายงานว่า บ้านเคลื่อนย้ายได้ที่เป็นทรงรูปไข่ของนายไต้ ไฮ่เฟย ในกรุงปักกิ่ง ถูกทางการสั่งรื้อถอนแล้ว โดยเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้ามาตรวจสอบ อ้างว่าไม่มีใบอนุญาตให้ก่อสร้าง ทั้งยังรุกล้ำที่สาธารณะ บริเวณฟุตปาธ ริมถนนเฉิงฟู เขตไฮ่เตียน




หลังจากถูกทางการไล่ นายไต้ ยังเก็บตัวเงียบ ส่วนผู้จัดการบริษัท สถาปนิก สแตนด์ดาร์ด อาร์คิเทกเจอร์ ที่นายไต้ทำงานอยู่ กล่าวว่า นายไต้ ได้รับใบแจ้งเตือนจากทางการให้รื้อบ้านทิ้ง ตอนนี้โดนแรงกดดันมาก จึงวอนขอพื้นที่ให้นายไต้มีความเป็นส่วนตัวด้วย





โอ้วว..เสียดายเนอะ ถึงหน้าตาบ้านจะแปลกประหลาดไปซะหน่อย แต่อิชั้นคิดว่าพี่แกเจ๋งดีอ่ะ นี่ถ้าได้รับการสนับสนุนปรับปรุงดี ๆ น่าจะเป็น "สินค้า" ที่ผลิตขายได้เลยนะเนี่ย ทำไมไปสร้างอยู่ที่จีนล่ะคะพี่ ย้ายฐานการผลิตมาสร้างใกล้ ๆ หนูเห้อออ...หนูจะสนับสนุนพี่เอ๊งงง...


ขอบคุณที่มา : http://news.mthai.com/world-news/96386.html


วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ข่าวสุขภาพ : ผลการวิจัยระบุ คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ สกปรกกว่าห้องน้ำซะอีก อรึ๋ยยย..

ใครที่ชอบค่อนแคะเพื่อนฝูง ว่าเข้าห้องน้ำแล้วไม่ล้างมือ เห็นทีจะต้องเปลี่ยนคำกระแนะกระแหนซะใหม่แล้วเฮ่าะ

ผลการวิจัยสมัยนี้พบว่า คีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์บางเครื่อง เป็นแหล่งหมักหมมของเชื้อแบคทีเรียมากกว่าที่นั่งโถชักโครกในห้องน้ำเสียอีก โดยเป็นแหล่งสะสมของเชื้อจุลินทรีย์ ที่อาจก่อให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้ เช่น เชื้ออีโคไล และสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส



ผลการตรวจสอบสำนักงานหลายแห่งในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จากการสุ่มตรวจคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ 33 เครื่อง พบว่า คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ 4 เครื่องในนี้ ที่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่วนอีก 1 เครื่อง มีเชื้อจุลินทรีย์มากกว่าถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับที่นั่งโถชักโครกในห้องน้ำของสำนักงานแห่งนั้น ๆ

นักจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัย คอลเลจ ลอนดอน ฮอสพิทั่ล ระบุว่า คีย์บอร์ดที่เป็นแหล่งหมักหมมของเชื้อโรค อาจทำให้ผู้ใช้งานรับเชื้อโรคเข้าไปได้ผ่านการสูดดม หรือ ใช้มือที่เพิ่งกดคีย์บอร์ด ไปจับอาหารเข้าปาก ส่งผลให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ที่สกปรก มักเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรียมากเกินกำหนดถึง 150 เท่า และอาจมีเชื้อแบคทีเรียมากกว่าโถชักโครกห้องน้ำถึง 5 เท่า (อะจ๊ากกก...)





นอกจากนี้ การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ร่วมกับคนอื่น ยังเป็นแหล่งแพร่เชื้อในหมู่พนักงานออฟฟิศโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว เช่น ถ้ามีพนักงานบางคนป่วยเป็นไข้หวัดในที่ทำงาน หรือ เป็นโรคลำไส้อักเสบ ก็มีแนวโน้มที่จะแพร่เชื้อให้เพื่อนพนักงานผ่านการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ร่วมกัน

การที่พนักงานออฟฟิศมักนำอาหารมานั่งกินตรงเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วเศษอาหารที่ตกหล่นไปบนคีย์บอร์ด ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียยิ่งเติบโตได้เร็วขึ้น ส่วนบางคน ที่มีสุขนิสัยไม่ดี เช่น ไม่ล้างมือหลังเสร็จกิจในห้องน้ำ แล้วมานั่งทำงานตรงเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อทันที ก็ทำให้เชื้อโรคที่ติดมากับมือกระจายลงสู่คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ จึงมีคำแนะนำให้พนักงานออฟฟิศ ต้องกระเทาะเศษอาหารหรือสิ่งสกปรกออกจากคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์อยู่เป็นประจำ จากนั้น จึงทำความสะอาด ด้วยการใช้ผ้านุ่มๆ ชุบแอลกอฮอล์ แล้วเช็ดไปที่คีย์บอร์ด เพื่อฆ่าเชื้อโรค

มาดูผลการสำรวจจากที่อื่นดูบ้างนะคะ

ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยแอริโซนาเมื่อปีที่แล้ว พบว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในสำนักงานประเทศสหรัฐส่วนใหญ่จะมีเชื้อแบคทีเรียสะสมอยู่มากกว่าถึง 400 เท่า เมื่อเทียบกับที่นั่งโถชักโครกในห้องน้ำ ส่วนบริเวณโดยรอบที่นั่งทำงานของพนักงานหญิง มักเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียมากกว่าโถชักโครกห้องน้ำ ประมาณ 3 ถึง 4 เท่า

แล้วผลวิจัยจากไทยล่ะ...โฮะ ๆ ๆ อิชั้นว่าอย่าเพิ่งส่งทีมอะไรต่อมิอะไรมาวิจัยเลยดีฝ่าเฮ่าะ เพราะเดี๋ยวทีมวิจัยจะช็อคซีเนม่าซะเปล่า ๆ..

ว่าแล้วก็ไปซื้อกล้วยแขกมานั่งกินหน้าเครื่องดีกว่าวุ้ย...(เอิ้ววว..555+) อย่าลืมทำความสะอาดคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ของเราเพื่อสุขอนามัยที่ดีกันด้วยนะค้าทุกคน...

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ข่าวฮา : สุดยอด 29 วิธี ขึ้นรถเมล์ฟรีแบบขำ ๆ

สุขสันต์วันทำงานนะค้า เพิ่งจะผ่านพ้นวันหยุด-วันแรงงานมาแหม็บ ๆ แต่ทำม๊ายย..อิชั้นยังอยากหยุดต่อเนื่องไปอีกหลาย ๆ วันเลยก็ไม่รู้

หรือนี่อาจจะเป็นวิถีของคนเดินดิน กินข้าวแกง ที่ปากต้องกัด ติงต้องถรีบอย่างเรา อุอุ

มาค่ะ..ควันหลงจากวันแรงงาน วันนี้อิชั้นนำเอาสุดยอดวิธีขึ้นรถเมล์ฟรีแบบฮา ๆ 29 วิธีมากฝากกันก็ละกันเนาะ

ไปดูกันนะค้า ว่าวิธีขึ้นรถเมล์ฟรีชั้นเซียนเค้าทำกันแบบไหน 


1. เลือกคันที่มนุษย์แน่นเอี๊ยดเหมือนปลากระป๋อง

2. ถ้ากระเป๋าอยู่ประตูหน้าให้ ขึ้นประตูหลัง พอกระเป๋าเดินมาถึงให้รีบลง แล้ววิ่งไปขึ้นประตูหน้า เล่นไล่จับกัน

3. ในกรณีกระเป๋ารถไม่เห็นให้ แกล้งหลับ

4. ถ้ากระเป๋ารถเห็นให้หลับจริงๆ (อย่าลืม กรน ครอกฟี้ยยย….ด้วยเพื่อความสมจริง)

5. หรือไม่ก็แกล้งหลับตั้งแต่ป้ายรถเมล์ จากนั้นพอรถจอด ก็ละเมอย้ายร่างขึ้นรถไป (วิธีนี้เนียนมากๆ ขอแนะนำ)

6. ใส่ชุด คอสเพลย์สไปเดอร์แมน โดดเกาะหลังคารถ อย่าให้คนในรถเห็น

7. ใส่ชุดนักเรียน อนุบาลเอี้ยมแดง (สำหรับผู้ที่หน้าแก่มาก ควรเพิ่มออปชั่นเพื่อความน่าเชื่อถือ กระติกน้ำ กล่องข้าว หุ่นยนต์กิงก้าแมน ฯลฯ)

8. ปริ๊นตั๋วเถื่อน

9. อุ้ย.. โทษ ข้อ 8 ท่าจะ แรงไป เปลี่ยนเป็นเอาเศษกระดาษเล็กๆ มานั่งบี้จะดีกว่า

10. ใช้ สกิลล่องหน

11. แกล้งกระเป๋าตังค์หาย ทำหน้าตาน่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้น ขอยืมเงินเป๋ารถเมล์

12. ตัดขาทิ้งไปข้างนึงก่อนขึ้นรถ

13. แต่งชุดอีทีขึ้นไปบนรถ จากนั้นขอเจรจากับกระเป๋ารถในฐานะทูตสันติภาพแห่งอวกาศ

14. แกล้งเอา แขนซุกในเสื้อ ปลอมเป็นคนแขนด้วน แล้วบอกเป๋ารถด้วยเสียงหวานซึ้งว่า ตังค์อยู่ในกางเกงในอ่ะ หยิบให้หน่อยจิ ตะเอง

15. ใส่ชุดกระเป๋ารถขึ้นไป แล้วทำท่าตกใจเมื่อ เจอกระเป๋ารถ ?อ๊ะ..! แกเป็นใคร?

16. กอดคอกระเป๋ารถด้วยท่าทีสนิทสนมสุดขีด ก่อนทักทายด้วยเสียงอันดังก้อง ?เฮ้ย เป็นไงบ้างเพื่อนร่วมโลก ไม่ได้เจอกันนาน… เป็น กระเป๋ารถเหรอ พยายามเข้านะ เรื่องตังค์ไม่ต้องห่วง เราจ่ายแน่ แต่ไม่ใช่วันนี้?

17. พูดภาษา อูกันด้า กับกระเป๋ารถเมล์

18. เดินเข้าไปผลักคนขับรถออกจากที่นั่ง ? มา..!! ตูขับเอง?

19. ระหว่างก้าวขึ้นให้แกล้งคุยโทรศัพท์ เสียงดังให้ได้ยินทั้งรถ ? เฮ้ย X ถนอม!! กระเป๋ารถที่เก็บตังค์เราวันนั้น มันออกจากห้องไอซียูรึยังวะ หา… อะไร นะ ยังไม่ออกอีกเหรอ X เราก็ว่าเบามือแล้วนะ?

20. ร้องไห้ แล้วรำพึงรำพันเสียง ดัง ?ฮือ…. ทำไม… ทำไมแค่นี้ต้องเก็บเงินกันด้วย อำมหิต ชั้นไปทำอะไรให้ ?

21. ถามทั้งกระเป๋าและคนขับว่า ?เฮ้ย นี่เก็บเงินข้าเหรอ..! นี่แกไม่รู้รึไงว่าชั้น เป็นลูกใคร!!!? (วิธีนี้ออกแนวความจำเสื่อม ฟังไม่ขึ้น ไม่ขอแนะนำให้ใช้)

22. (หมายเหตุจากข้อ 21 : ?โห… ทำยังกะวิธีในข้ออื่นมันฟังขึ้นงั้นแหละ ? )

23. แกล้ง เสมือนว่าขึ้นรถผิดคัน แล้วขอลงป้ายหน้า ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ (โอ… วิธีนี้ค่อยยังชั่ว หน่อย) เพื่อความเนียนควรถามทางกระเป๋ารถด้วย ?อืม คันนี้ผ่านลอสแองเจลลิสมั้ยอ๋อ ไม่ผ่านเหรอ งั้นขอลงป้ายหน้าละกัน??!!??

24. บอกกระเป๋ารถเสียงดังว่า ?เก็บอะไร!!! ตูจ่ายแล้ววว? ทั้งๆ ที่ทุกคนเห็นแกขึ้นรถมาเมื่อกี้ก็ตาม

25. ถามกระเป๋ารถ ว่า ?คุณเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยที่อยู่ข้างหลังผมมั้ย..?? เห็นมั้ย ไม่เห็นเหรอ เธอบอกผมว่า อย่าไปจ่ายย…. อย่าไปจ่ายมันน…..?

26. ควักแบ๊งค์พันให้ ยิ้ม แล้วพูดเสียงเขินๆ ? ป๋มไม่มีเศษเยยอ่ะคับพี่ งุงิ งุงิ?

27. พอกระเป๋าถึงตัวให้ตกใจสุดขีด จากนั้นแกล้งเป็นลม (ถ้ามีความสามารถจะกระตุกลมบ้าหมูเพิ่มเข้าไปก็ได้)

28. แกล้งหยิบปืนขึ้น มา แล้วพูดว่า ?อุ๊ย หยิบมาผิด นึกว่ากระเป๋าสตางค์ โอ ไม่นะ งั้นเป๋าตังค์ก็อยู่บ้านอ่ะดิ ตอนนี้จ่ายด้วยลูกปืนไปก่อนได้มั้ย?

29. มองหน้ากระเป๋ารถด้วยสีหน้าที่กวนอวัยวะ ที่ใช้สวมรองเท้ามากที่สุด เอียงคอ ยกขาเล็กน้อย ปากเบี้ยวพอประมาณ ยักไหล่พอเป็น จังหวะ แล้วเอ่ยเสียงเพราะๆ ว่า ?ตูไม่ให้!!!!? (จากนั้นก็จะมีเรื่องฟาดปากกัน ไม่ต้องจ่าย ค่ารถแน่นอน ไปจ่ายค่าทำแผลแทน)





อ่านแล้ว ใคร๊มันจะทำ..เอ๊ย..คร๊ายย..อยากจะทำตามสักข้อสองข้อก็ไม่ว่ากันนะค้า ว่าแต่ทำลงไปแล้วอย่าบอกละกันว่าหนีบเคล็ดลับมาจากบล้อกนี้ ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนตื้บตามไปด้วยอ่ะคร๊า 5555+

แล้วพบกันใหม่กับเคลิ้มสมาคมตอนหน้าน๊า

ที่มา : http://www.mizzvariety.com/